เปิดกลยุทธ์ 4Ps ชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์อินเดีย
Share:
Text : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์

ด้วยจำนวนประชากร 1,300 ล้านคนและยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในปีการเงินที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมี.ค. 2559 อยู่ที่ 3 ล้านคัน ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่เนื้อหอมที่สุด บริษัทรถยนต์ต่างชาติต่างพยายามเข้าไปยึดหัวหาด อาทิ โฟล์กสวาเก้นที่จับมือเป็นพันธมิตรกับทาทา มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ของอินเดีย ยังไม่นับบริษัทรถยนต์ระดับโลกรายอื่นที่เข้ามาเช่นกัน อาทิ ฮุนได ซูซูกิ เฟี้ยต ไครสเลอร์ เปอร์โยต์ และซีตร็อง รวมถึงโตโยต้าที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับหุ้นส่วน ล่าสุด เอสเอไอซี มอเตอร์ บริษัทรถยนต์ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลจีนกำลังจะเข้าไปเป็นผู้เล่นรายล่าสุด โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตเพื่อตั้งโรงงานผลิตใน 3 รัฐ คาดว่าจะมีการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ เอ็มจี มอเตอร์ซึ่งเป็นลูกเครือของเอสเอไอซี สำหรับบริษัทรถยนต์รายใหญ่สุดในตลาดอินเดียขณะนี้มี 2 รายคือ ฮุนได และมารูติ ซูซูกิ ผู้เป็นเจ้าในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก
ข้อมูลจากสถานกงสุลไทย ณ เมืองมุมไบ โดยคุณธีระพงษ์ วนิชชานนท์ระบุอุตสาหกรรมรถยนต์ของอินเดียมีขนาดใหญ่และยังสามารถขยายตัวได้อีกมากตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลาง โดยตลาดรถยนต์ของอินเดียกว่าร้อยละ 80 เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 400,000 – 500,000 รูปี (ประมาณ 270,000 – 340,000 บาท) ซึ่งคาดว่าด้วยราคาจำหน่ายที่ต่ำมากท่ามกลางการแข่งขันสูง กำไรต่อหน่วยในการจำหน่ายรถยนต์จึงมีไม่มากนัก แต่ได้อาศัยยอดจำหน่ายรถยนต์ที่สูงเป็นตัวชดเชย ช่วงระยะหลังมานี้ ผู้ผลิตรถยนต์ในอินเดียเริ่มที่จะขยายตลาดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นที่ภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกกลางที่เป็นตลาดดั้งเดิม และขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในแอฟริกาและลาตินอเมริก
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการขยายส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในอินเดีย หากวิเคราะห์ตามหลัก 4Ps จะเป็นดังนี้
1 ผลิตภัณฑ์ (product) ต้องมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่หรือปรับโฉมรถยนต์รุ่นเก่าอออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
2 สถานที่ (place) เดิมศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของอินเดียอยู่ที่นิวเดลี เจนไนและปูเน่ แต่ขณะนี้รัฐคุชราตได้ประกาศจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของอินเดีย จุดแข็งของรัฐคุชราตอยู่ที่ ราคาที่ดินเหมาะสม ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตรถยนต์ และประชาชนมีกำลังซื้อสูง
3 ราคา (price) ลูกค้าอินเดียมีความอ่อนไหวในเรื่องราคามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การกำหนดราคาจำหน่ายรถยนต์ขนาดเล็กจะทำได้ลำบากมาก เพราะหากตั้งราคาผิดไปเพียง 10,000 รูปี (ประมาณ 7,000 บาท) อาจมีผลต่อยอดจำหน่าย ดังนั้นการกำหนดราคาจำหน่ายรถยนต์จึงต้องมีการวิจัยตลาดอย่างดี
4 การส่งเสริมการขาย (promotion) บริษัทรถยนต์ใช้งบประมาณอย่างมากในการโฆษณาสินค้าในทุกช่องทางทั้งทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รวมทั้งใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเป็น brand ambassador
ประชากรอินเดียอาจจะมหาศาล ตลาดรถยนต์อาจดูสดใส แต่จะกลายเป็นสมรภูมิปราบเซียนหรือไม่ คงต้องดูกันยาว ๆ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

ด้วยจำนวนประชากร 1,300 ล้านคนและยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ในปีการเงินที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมี.ค. 2559 อยู่ที่ 3 ล้านคัน ทำให้อินเดียกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่เนื้อหอมที่สุด บริษัทรถยนต์ต่างชาติต่างพยายามเข้าไปยึดหัวหาด อาทิ โฟล์กสวาเก้นที่จับมือเป็นพันธมิตรกับทาทา มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ของอินเดีย ยังไม่นับบริษัทรถยนต์ระดับโลกรายอื่นที่เข้ามาเช่นกัน อาทิ ฮุนได ซูซูกิ เฟี้ยต ไครสเลอร์ เปอร์โยต์ และซีตร็อง รวมถึงโตโยต้าที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจากับหุ้นส่วน ล่าสุด เอสเอไอซี มอเตอร์ บริษัทรถยนต์ที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลจีนกำลังจะเข้าไปเป็นผู้เล่นรายล่าสุด โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอใบอนุญาตเพื่อตั้งโรงงานผลิตใน 3 รัฐ คาดว่าจะมีการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ เอ็มจี มอเตอร์ซึ่งเป็นลูกเครือของเอสเอไอซี สำหรับบริษัทรถยนต์รายใหญ่สุดในตลาดอินเดียขณะนี้มี 2 รายคือ ฮุนได และมารูติ ซูซูกิ ผู้เป็นเจ้าในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก
ข้อมูลจากสถานกงสุลไทย ณ เมืองมุมไบ โดยคุณธีระพงษ์ วนิชชานนท์ระบุอุตสาหกรรมรถยนต์ของอินเดียมีขนาดใหญ่และยังสามารถขยายตัวได้อีกมากตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลาง โดยตลาดรถยนต์ของอินเดียกว่าร้อยละ 80 เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 400,000 – 500,000 รูปี (ประมาณ 270,000 – 340,000 บาท) ซึ่งคาดว่าด้วยราคาจำหน่ายที่ต่ำมากท่ามกลางการแข่งขันสูง กำไรต่อหน่วยในการจำหน่ายรถยนต์จึงมีไม่มากนัก แต่ได้อาศัยยอดจำหน่ายรถยนต์ที่สูงเป็นตัวชดเชย ช่วงระยะหลังมานี้ ผู้ผลิตรถยนต์ในอินเดียเริ่มที่จะขยายตลาดส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นที่ภูมิภาคเอเชียใต้และตะวันออกกลางที่เป็นตลาดดั้งเดิม และขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในแอฟริกาและลาตินอเมริก
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการขยายส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ในอินเดีย หากวิเคราะห์ตามหลัก 4Ps จะเป็นดังนี้
1 ผลิตภัณฑ์ (product) ต้องมีการออกรถยนต์รุ่นใหม่หรือปรับโฉมรถยนต์รุ่นเก่าอออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
2 สถานที่ (place) เดิมศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของอินเดียอยู่ที่นิวเดลี เจนไนและปูเน่ แต่ขณะนี้รัฐคุชราตได้ประกาศจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของอินเดีย จุดแข็งของรัฐคุชราตอยู่ที่ ราคาที่ดินเหมาะสม ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตรถยนต์ และประชาชนมีกำลังซื้อสูง
3 ราคา (price) ลูกค้าอินเดียมีความอ่อนไหวในเรื่องราคามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การกำหนดราคาจำหน่ายรถยนต์ขนาดเล็กจะทำได้ลำบากมาก เพราะหากตั้งราคาผิดไปเพียง 10,000 รูปี (ประมาณ 7,000 บาท) อาจมีผลต่อยอดจำหน่าย ดังนั้นการกำหนดราคาจำหน่ายรถยนต์จึงต้องมีการวิจัยตลาดอย่างดี
4 การส่งเสริมการขาย (promotion) บริษัทรถยนต์ใช้งบประมาณอย่างมากในการโฆษณาสินค้าในทุกช่องทางทั้งทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รวมทั้งใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเป็น brand ambassador
ประชากรอินเดียอาจจะมหาศาล ตลาดรถยนต์อาจดูสดใส แต่จะกลายเป็นสมรภูมิปราบเซียนหรือไม่ คงต้องดูกันยาว ๆ
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
Topics:
Share:
Related Articles
ทำไม “มูซังคิง” ทุเรียนบ้านๆ จากมาเลย์ ถึงกลายเป็นราชันแห่งทุเรียน ส่งออกไปจีนปีละกว่า 1,000 ตัน
“มูซังคิง” ผลไม้ยอดฮิตของกลุ่มคนรักทุเรียนในจีน ได้เริ่มต้นส่งออกทุเรียนมูซังคิงไปยังประเทศจีนเมื่อ 6 ปีก่อน และปัจจุบันได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราช..
EAON MALL สลัดภาพค้าปลีกหัวเก่า ก้าวเท้าสู่ “ดิจิทัล” ตั้งศูนย์เทคโนโลยีนำร่องในจีน ก่อนใช้จริงในญี่ปุ่น
อิออน มอลล์ที่ให้บริการในจีนได้เคยนำร่องให้ร้านค้าของห้างไลฟ์สดจำหน่ายสินค้าไปแล้วหลังจากที่มีการก่อตั้งศูนย์บริหารดิจิทัลอิออนขึ้นในเมืองหังโจว เรี..
หมัดเด็ดเล็กสู้ยักษ์! ถอดกลยุทธ์ Dunham's ห้างสรรพสินค้าอิสระแห่งสุดท้ายในอเมริกา
ทุกเมืองคงเคยมีห้างสรรพสินค้าในท้องถิ่น ก่อนที่แบรนด์ใหญ่ทุนหนาจะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนห้างท้องถิ่นสู้ไม่ไหวปิดตัวลงไปในที่สุด แต่ไม่ใช่กับ Dunham’s ..