​“โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” วิธีคิดสู่ความสำเร็จ สไตล์ “ดร.แสงสุข พิทยานุกุล”

Text : กองบรรณาธิการ
 
 
     นับตั้งแต่ความสำเร็จแรกของสมูทอี ดร.แสงสุข พิทยานุกุล มักถูกเบรคว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทว่ายิ่งมีคนดูถูก ยิ่งทำให้เขามีแรงฮึดที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงความเป็นไปได้ในสิ่งที่คิด ดร.แสงสุขบอกว่าความสำเร็จของสมูทอีคือ “ความแตกต่าง” เพราะมีแรงบีบจากบริษัทใหญ่ ที่มีทั้งเงินทุน และประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า การเดินตามรอยเท้ายักษ์ใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก เขายอมทุ่มทุนไปกับการสร้างความต่าง ผลิตโฟมล้างหน้าที่ไม่มีฟอง ซึ่งทุกคนมองว่าไม่มีทางขายได้ บางคนถึงขั้นเฝ้าดูความล้มเหลวของเขา ทว่าผ่านไปปีหนึ่งก็ยังไม่เจ๊ง สองปีก็ยังไม่เจ๊ง ห้าปีก็ยังไม่เจ๊ง ทั้งๆ ที่เขาขายแพงกว่าโฟมมีฟองที่คนนิยมกัน จนที่สุดทุกคนไม่เพียงให้การยอมรับ แต่ยังยกย่องให้เขาเป็นนักธุรกิจที่มีฝีมือด้านการตลาดที่น่าจับตาคนหนึ่งของไทย





     ดร.แสงสุขเผยมุมมองที่เป็นเคล็ดลับการขายของเขาให้ฟังว่า นักขายที่เก่งที่สุด จะไม่ขายของเลย แต่เวลาพูดอะไรออกมาแล้วคนอยากซื้อ เพราะ 80% ของผู้บริโภคเวลาซื้อสินค้า เขาจะซื้อด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล แต่นักขายทั่วไปมักพูดว่าของเขาดีอย่างไร ซึ่งนั้นเป็นเหตุผล การบอกว่าสินค้าของตัวเองดียังไง แม้เรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องจริง ก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ในทางกลับกันหากเลือกที่จะเล่าที่มาที่ไปของแบรนด์ การเลือกใช้วัตถุดิบ กระบวนการผลิตกว่าจะมาเป็นโฟมไม่มีฟองสมูทอี ซึ่งมีสรรพคุณช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้บริโภคอย่างไรนั้น จะกระตุ้นให้เกิดการอยากซื้อไปลองใช้มากกว่า สิ่งสำคัญหลังจากนี้คือการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพตามที่เราได้พูดไป


     ด้วยวิธีคิดต่างอย่างมีเหตุผลรองรับเช่นนี้ เป็นสูตรสำเร็จที่ ดร.แสงสุขใช้ในการสร้างความสำเร็จให้กับตัวเองมาตลอด โดยมีแบรนด์สมูทอีการันตีทฤษฎีนี้ของเขา ซึ่งต่อมาเขายังมีสินค้าในกลุ่ม Personal Care ในชื่อแบรนด์ต่างๆ ออกมาสร้างรายได้ให้ไหลเข้ากระเป๋าอย่างต่อเนื่อง จนเขามองว่าตัวเองเสพสุขกับความสำเร็จพอแล้ว และอยากเอาประสบการณ์ที่มีมาสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งพร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะดุเดือดยิ่งๆ ขึ้นในอนาคต โดยคาดหวังให้นักธุรกิจรุ่นใหม่เหล่านี้เป็นพลังที่จะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น
และนี่คือที่มาที่ทำให้เภสัชกรผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ Personal Care ผันตัวเองมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ ทว่าแนวคิดในการสร้างจุดต่างให้กับโมเดล Business School ของเขาแหวกม่านประเพณีจนทำให้หลายคนกังขาว่าจะไปรอดหรือ?


     โรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business School ของ ดร.แสงสุข การันตีความสำเร็จให้กับทุกคน โดยไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียน จนกว่าผู้เรียนเรียนจบออกไปสร้างผลสำเร็จให้กับธุรกิจของตัวเองจนมีกำไรเสียก่อน แล้วค่อยเอาเงินที่ได้จากผลกำไรมาจ่ายค่าเล่าเรียน ฟังดูแล้วน่าจะเป็นความคิดที่สร้างความเสี่ยงสูงให้กับการลงทุนสร้าง Business School ของเขา ซึ่งทุกคนมองว่าไม่น่าจะไปรอด แต่แนวคิดที่ทำให้ดร.แสงสุขกล้าการันตีความสำเร็จให้กับทุกคนก็คือ วิธีการคัดเลือกนักศึกษาเข้ามาเรียน


     เขาจะเลือกแต่เฉพาะผู้ประกอบการที่มีธุรกิจอยู่แล้ว โดยให้นำเอาแผนธุรกิจมานั่งคุยกันเพื่อดูว่าคนไหนมีแววพอที่จะผลักดันให้ประสบความสำเร็จได้  ซึ่งนอกจากทักษะความรู้ที่จะได้เรียนกับอาจารย์ที่เป็นนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ นักศึกษายังจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงของอาจารย์ที่จะให้คำแนะนำในการนำไปปฏิบัติจริงกับธุรกิจตัวเอง โดยกำหนดให้สิ่งที่นักศึกษาได้จากการเรียนไปจะต้องทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในทุกๆ เดือน โดยผู้เรียนจะต้องส่งผลประกอบการมาให้ดูทุกสิ้นเดือน หากรายได้ไม่เพิ่ม ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์จะช่วยกันวิเคราะห์หาทางแก้ไขจนกว่าจะสำเร็จ


     แนวคิดเช่นนี้จะสร้างโอกาสให้ทุกคนได้ Win-Win ด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนที่จะได้ประสบการณ์ความรู้โดยตรงจากนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ ขณะที่นักธุรกิจชั้นนำก็ได้ไอเดีย และโอกาสใหม่ๆ ในการต่อยอดธุรกิจจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เป็นแนวคิที่ทำให้ ดร.แสงสุขมั่นใจว่าโมเดล Business School ของตน จะเป็นโมเดลต้นแบบสำหรับการศึกษาด้านธุรกิจในอนาคต 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​