จิรทศ ถิรนุทธิ ทายาทรุ่น 4 ที่จะนำพาแบรนด์ไทยไปเทียบรัศมีแบรนด์ดังระดับโลก




Main Idea
 
  • คนเขาค่อนแคะว่า ธุรกิจครอบครัวมักอยู่ได้ไม่เกิน 3 รุ่น เพราะส่วนใหญ่ ปู่สร้าง พ่อขยาย ลูกหลานทำเจ๊ง! แต่ไม่ใช่กับ “จิรทศ ถิรนุทธิ” ทายาทรุ่นที่ 4 แห่ง “บางกอก บู๊ทเทอร์รี่” แบรนด์เครื่องหนังสุดหรูที่อยู่ในสนามมานานถึง 83 ปี
 
  • เขาไม่เพียงทำให้ธุรกิจครอบครัวยังคงเติบโตและอยู่รอดได้ ทว่ายังมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้แบรนด์เครื่องหนังไทยขึ้นไปเทียบรัศมีแบรนด์ดังระดับโลก อย่าง หลุยส์ วิตตอง, ชาแนล, แอร์เมส หรือ กุชชี่ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
 
  • บางครั้งการที่คนรุ่นก่อนหน้าได้ปล่อยวาง เลิกยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ก็ทำให้ทายาทได้แสดงบทบาทของตนเองอย่างเต็มที่ และส่งผลให้ธุรกิจครอบครัวไปได้ไกลกว่าที่คิด เหมือน บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ ในวันนี้





      คำสบประมาทที่หลายคนมีให้กับธุรกิจครอบครัวคือ อยู่ได้ไม่เกิน 3 รุ่น! เห็นมาเยอะแล้วที่ ปู่สร้าง พ่อขยาย ลูกหลานทำเจ๊ง!
               

      ก่อนจะเออออไปกับเรื่องนี้ ลองมาทำความรู้จักกับทายาทที่ชื่อ “จิรทศ ถิรนุทธิ” เขาไม่ใช่แค่คนรุ่นลูก แต่คือรุ่นหลาน ที่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัว “บางกอก บู๊ทเทอร์รี่” (Bangkok Bootery) แบรนด์เครื่องหนังสัญชาติไทยสุดหรูที่ทั้งชาวไทย และต่างชาติต่างรู้จักดี ซึ่งอยู่ในตลาดมานานถึง 83 ปี 





      เป้าหมายของเขาไม่เพียงทำให้ธุรกิจครอบครัวยังคงเติบโตและอยู่รอด แต่มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้แบรนด์เครื่องหนังไทยขึ้นไปเทียบรัศมีแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งฝันนี้ไม่ได้ไกลเกินจริงเสียด้วย
               

      เขาทำได้อย่างไร ไปหาคำตอบกัน?
               

      จิรทศ เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ซึ่งตามธรรมเนียมคนจีนแม้ไม่ได้บอกกล่าวกันตรงๆ ว่าต้องมาสืบทอดกิจการ แต่เป็นเหมือนเรื่องที่เจ้าตัวเข้าใจดีอยู่แล้ว ถึงบทบาทของ “ผู้ถูกเลือก” หลังจากคนรุ่นหนึ่งเปิดโรงงานรับจ้างผลิตเพื่อส่งออก จนธุรกิจส่งไม้ต่อมาถึงรุ่นพ่อของเขาก็เข้าสู่ยุคการสร้างแบรนด์  ทายาทได้เห็นเครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ที่ผู้คนเรียกกันว่าแบรนด์ บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ จนคุ้นเคยดีเพราะวิ่งเล่นในร้านมาตั้งแต่เด็ก และปลูกฝังให้เขาชอบค้าขายไปโดยปริยาย
               

      เพราะรู้ถึงอนาคต จิรทศ เลยไม่เลือกเรียนแบบสะเปะสะปะ แต่มุ่งมาทางด้านบริหารธุรกิจ โดยเลือกเรียนด้านการเงินก่อนไปต่อปริญญาโทด้านการเป็นผู้ประกอบการที่ประเทศอังกฤษ รุ่น 4 อย่างเขากำลังประกาศความพร้อมในการมาสานต่อธุรกิจด้วยองค์ความรู้
               

      หลังกลับมาช่วยกิจการได้ 2-3 ปี ผู้เป็นพ่อก็เริ่มปล่อยมือ ในวันที่ธุรกิจมีอยู่ 3 สาขา และผู้เป็นพ่อก็สร้างแบรนด์มาจนสำเร็จ พูดง่ายๆ คือ บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ เคยอยู่ในจุดสูงสุดในยุคคุณพ่อของเขา ถามว่าทำไมถึงกล้ายกธุรกิจ 8 ทศวรรษให้อยู่ในมือคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาง่ายๆ   
               

      สิ่งที่น่าจะเป็นบทเรียนให้ธุรกิจครอบครัวได้ดีคือ วันนี้ยุคสมัยเปลี่ยน เริ่มมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามา  สื่อออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย กลายเป็นโลกอีกใบที่คนรุ่นก่อนอาจไม่ถนัด ฉะนั้นถ้ายังยึดติดไม่เปิดโอกาสให้ลูกหลานเข้ามาสานต่อธุรกิจก็จะติดกับดัก บวกกับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง ความต้องการของตลาดลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ ธุรกิจเริ่มอยู่ไม่นิ่ง ไม่ขยับขยาย ชื่อเสียงเลยขาดหายไปในช่วงหนึ่ง
               





       ถามว่าทายาทรุ่น 4 เข้ามาทำอะไรให้ธุรกิจ เขาเริ่มมองหาโอกาสและตลาดใหม่ๆ อย่างการขยายตลาดจากกรุงเทพ หัวหิน และพัทยา ฐานที่มั่นหลัก ไปยังจังหวัดภูเก็ต เพราะมองว่าลูกค้ามีกำลังซื้อสูง (High Spending) และชอบเครื่องหนังเอ็กโซติก (Exotic) แบบที่พวกเขามี ค่อยๆ ปรับเกมรุก และค่อยๆ ขยายสาขาเพิ่มจาก 3 สาขาในวันแรก กลายมาเป็น 27 สาขาในปัจจุบัน
               

      จากแบรนด์ที่โตมากับรองเท้า และมีรองเท้าเป็นพระเอกมาหลายปี เขาลุกมาเพิ่มกลุ่มกระเป๋า และ  Accessory ต่างๆ อย่าง เข็มขัด กระเป๋าสตางค์ สายนาฬิกา จนถึงเสื้อแจ๊คเก็ต ที่ทำจากหนัง เขาบอกว่า เพราะยุคสมัยเปลี่ยน และมองว่ากระเป๋าและ Accessory บริหารจัดการง่ายกว่ารองเท้า เพราะไม่ต้องทำออกมาหลายแบบหลายไซส์
               

      ผลลัพธ์ที่ได้คือยอดขายกระเป๋ากลายเป็นรายได้หลัก โดยอยู่ที่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรองเท้าอยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นเสื้อผ้า และ Accessory ต่างๆ
               

      รุ่นพ่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ทายาทอย่างเขาคิดนำพาแบรนด์ให้ไปได้ไกลกว่านั้นเขาบอกว่า อยากทำให้    แบรนด์เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก อยากนำพาแบรนด์ไทยโกอินเตอร์ เทียบชั้นแบรนด์ดังระดับโลก เขาจึงเริ่มศึกษาตลาดส่งออก และเตรียมความพร้อม โดยทำการรีแบรนด์ และเปลี่ยนโลโก้ใหม่ เพื่อทำให้แบรนด์ชัดเจน พร้อมสำหรับการโบยบินสู่ตลาดโลก


      เขาบอกว่า อยากไปเปิดสาขาในต่างประเทศ โดยอาจเป็นการร่วมทุนกับต่างชาติ ส่วนประเทศแรกสุดที่อยากไปก็คือดูไบ เพราะเป็นตลาดหอมหวานของเครื่องหนังเอ็กโซติก
               

      เมื่อถามว่าอยากไปได้ไกลแค่ไหนในเวทีโลก ทายาทรุ่น 4 บอกเราว่า คือการขึ้นไปอยู่เคียงข้างแบรนด์เนมระดับโลก อย่าง หลุยส์ วิตตอง, ชาแนล, แอร์เมส หรือ กุชชี่ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเชื่อมั่นว่าแบรนด์ไทยสู้ได้ เพราะความเป็นแหล่งเครื่องหนังเอ็กโซติก อย่าง หนังจระเข้ หนังงู  และหนังหายาก ที่ต่างประเทศไม่มี กลายเป็นความได้เปรียบของแบรนด์ไทยอย่างพวกเขา
               



      นี่คือภาพสะท้อนของผลงานทายาทรุ่น 4 ผู้ไม่ยอมให้คำสาป “ปู่สร้าง พ่อขยาย ลูกหลานทำเจ๊ง!” กลายเป็นตราบาปในใจของพวกเขา ซึ่งความสำเร็จนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคนรุ่นก่อนหน้าไม่ยอมปล่อยมือให้ทายาทรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพของตัวเอง
               

     บางครั้งการได้ปล่อยวาง เลิกยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ก็ทำให้ธุรกิจครอบครัวไปได้ไกลกว่าที่คิด เหมือนความสำเร็จที่เกิดกับ  บางกอก บู๊ทเทอร์รี่ ในวันนี้
 



Profile
 
จิรทศ ถิรนุทธิ
อายุ : 35 ปี
การศึกษา : ปริญญาโทสาขาวิชาการเป็นผู้ประกอบการ  (Entrepreneurship) ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ (University of Surrey) ประเทศอังกฤษ
ตำแหน่ง :  กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกบู๊ทเทอร์รี่ ดิเอ็กโซติก จำกัด
 




www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​