แรงเกินต้าน “เบาะนอนทารกป้องกันเด็กไหลตาย นวัตกรรมเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย แค่เปิดตัวออร์เดอร์จองเป็นร้อยชิ้น

TEXT : นิตยา สุเรียมมา
PHOTO : Airy Bedding





      จากการต้องเตรียมตัวเป็นคุณแม่ของ วรพร มุสิกบุตร (โจ) และวรฤดี มุสิกบุตร (โจ้) สองพี่น้องฝาแฝดที่บังเอิญตั้งครรภ์พร้อมๆ กัน เพื่อค้นหาข้อมูลสำหรับการเลี้ยงดูลูกน้อย จนมาเจอข้อมูลเกี่ยวกับโรค SIDS (Sudden Infant Death Syndrome) ภาวะที่ทารกเสียชีวิตขณะนอนหลับหรือเรียกง่ายๆ ว่า โรคไหลตายเด็ก ทำให้ทั้งคู่ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จึงพยายามคิดหาวิธีป้องกัน กระทั่งได้มาเจอกับวัสดุพิเศษชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติสามารถหายใจผ่านได้ จึงทดทดลองศึกษาค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเอง และส่งไปทดสอบยังห้องแลปต่างๆ จนท้ายที่สุดเกิดเป็นนวัตกรรมเบาะนอนสำหรับทารกเพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคไหลตายเด็กได้เป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในไทย



 

สร้างความมั่นใจ ตั้งแต่ยังไม่ผลิตออกมาขาย
 
               
    “จริงๆ ภาวะที่ทารกเสียชีวิตขณะนอนหลับมักมีข่าวให้ได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ซึ่งเมืองนอกเขาตระหนักเรื่องนี้กันมาสักพักแล้ว แต่สำหรับในไทยอาจยังไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก ทั้งที่อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเกิดไหลตายได้ โดยเฉพาะกับเด็กในวัย 0 - 1 ขวบ เพราะด้วยความที่กล้ามเนื้อเขายังอ่อนแออยู่ บางทีพลิกตัวไปก็ไม่สามารถพลิกกลับได้ ถ้าพ่อแม่เผลออาจทำให้เกิดอันตรายและหยุดหายใจได้ในที่สุด


       “ซึ่งบังเอิญเราได้มาเจอกับวัสดุตัวหนึ่งมีชื่อว่า EVA (Ethylene Vinyl Acetate) เป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ทำยางกัดเล่นของเด็กทารก ไร้สารพิษ ปลอดภัยระดับ Food Grade ตอนนั้นสามีของโจ้นำเข้าเครื่องจักรผลิตยางตัวนี้เข้ามา เพื่อใช้ผลิตเตียงสำหรับผู้ใหญ่ ด้วยลักษณะของเส้นใยเป็นโพรงเหมือนรังนกเราจึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาใช้ผลิตเป็นเบาะนอนสำหรับเด็ก เพื่อให้เขาสามารถหายใจผ่านได้ ซึ่งพอลองหาข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่าหลายประเทศเขาก็ใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา หรือประเทศในยุโรปเองก็ตาม เราเลยทดลองผลิตขึ้นมา”


        หลังจากมั่นใจว่าเริ่มต้นมาถูกทางแล้ว ทั้งวรพรและวรฤดีก็เดินหน้าต่อ โดยต้องการให้สินค้าแอร์รี่มีคุณภาพดี ปลอดภัย เทียบเท่ามาตรฐานสากล แต่ด้วยความที่ในประเทศไทยยังไม่มีมอก.หรือมาตรฐานรองรับสินค้าประเภทเบาะนอน คุณแม่แฝดทั้งสองจึงส่งสินค้าไปตรวจในห้องแลปและสถาบันผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องนอนโดยเฉพาะในประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศเบลเยี่ยม และ ญี่ปุ่น ตั้งแต่การตรวจหาสารพิษจากพื้นผิววัสดุ การตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยว่าที่นอนแอร์รี่ไม่เป็นวัสดุไฟลาม ไปจนถึงทดสอบความคงทนจากการโดนกระแทกเป็นหมื่นๆ ครั้ง จนสุดท้าย คือ การหายใจผ่านได้ โดยพบว่าเบาะดังกล่าวมีคุณสมบัติพิเศษสามารถหายใจผ่านได้ดีกว่าเบาะทั่วไปถึง 7 เท่าด้วยกัน จากนั้นจึงสร้างแบรนด์ขึ้นมาใช้ชื่อว่า “Airy” เมื่อ 3 ปีที่แล้ว



 

เตรียมไปแค่สิบ แต่สั่งซื้อกลับมาเป็นร้อย
 

         ครั้งแรกที่วรพรและวรฤดีเปิดตัวออกสู่ตลาดนั้น ทั้งคู่ได้ไปออกบูธเล็กๆ อยู่ในงานแสดงสินค้าแม่และเด็กแห่งหนึ่ง มีเพียงตัวอย่างติดเอาไปไม่กี่สิบชิ้น โดยหวังเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคได้รู้จักกับสินค้าก่อนเท่านั้น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามกับที่คาดเดาไว้ เพราะเพียงงานแรกก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี มียอดพรีออร์เดอร์สั่งจองเข้ามานับเป็นร้อยชิ้น สร้างความแปลกใจให้กับทั้งคู่ไม่น้อยทีเดียว


         “เราไม่คิดว่าคนจะเก็ตได้เร็วขนาดนี้ เพราะตอนนั้นเราเตรียมตัวแค่จะไปลองอธิบายเพื่อแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักเท่านั้น เพราะเป็นสินค้าใหม่ยังไม่เคยมีมาก่อนในบ้านเรา  เตรียมไปแค่ไม่กี่สิบอัน ปลอกที่นอนก็นิดหน่อย แต่ผลปรากฏลูกค้าพรีออร์เดอร์เข้ามากว่าร้อยชิ้น ทำให้รู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว และมีกำลังใจอยากพัฒนาสินค้าต่อไปเรื่อยๆ ” คุณแม่คู่แฝดกล่าว



               

         โดยวรพรและวรฤดีได้อธิบายถึงคุณสมบัติพิเศษของเบาะเด็กแบรนด์ Airy ให้ฟังว่าด้วยลักษณะของโครงสร้างที่เป็นเหมือนรังนกจึงทำให้มีโพรงอากาศด้านใน ถ้าเด็กเผลอนอนคว่ำจะยังสามารถหายใจผ่านที่นอนได้ นอกจากนี้ตัวผ้าที่เป็นปลอกหุ้มเองก็มีการสั่งให้ทอเป็นลักษณะพิเศษ คือ ทอเป็นเส้นยืนทำให้สามารถหายใจผ่านได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังตัวเบาะเองยังสามารถฉีดล้างได้ทั้งอัน ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย จึงไม่เกิดการสะสมของไรฝุ่นและเชื้อรา โดยเบาะนอนเด็กของ Airy จะมีให้เลือกหลายขนาด ราคาอยู่ที่ 2,900 - 5,800 บาท


       โดยสัดส่วนรายได้มาจากหลายช่องทางด้วยกัน ทั้งจากงานแสดงสินค้า ร้านขายสินค้าแม่และเด็ก ช่องทางออนไลน์ แต่หนึ่งในกลุ่มที่น่าสนใจและถือว่าค่อนข้างมีอิทธิพลกับแบรนด์มากก็คือ กลุ่มคอมมูนิตี้ต่างๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคุณแม่และผู้ปกครอง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์เลี้ยงดูบุตรซึ่งกันและกัน


         “จะเรียกว่าเป็นเทรนด์ก็ได้ โดยตั้งแต่เมื่อเกิดโควิด-19 ขึ้น ทำให้การซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น กลุ่มคอมมูนิตี้ต่างๆ เหล่านี้ก็จะมีเกิดเยอะมากขึ้น บางกลุ่มก็เป็นกลุ่มปิดเพื่อเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เลี้ยงดูลูกซึ่งกันและกัน ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีอิทธิพลกับแบรนด์มากทีเดียว เพราะเขา คือ ผู้ใช้จริง มีฟีดแบ็กกลับมาให้จริงๆ ไปจนถึงยอดขายสินค้า ซึ่งหากสินค้าตัวไหนใช้ดีก็จะเกิดการบอกต่อ เป็นการทำตลาดที่ค่อนข้างได้ผลและมีพาวเวอร์มาก”



 

ปรับให้ไว เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นโอกาส
 
               
       โดยช่วงโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้วที่ผ่านมานั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากเป็นสินค้าหรือกิจการอื่นทั่วไปอาจได้รับผลกระทบต่อยอดขายที่ลดลงค่อนข้างมาก แต่น่าแปลกที่สำหรับสินค้ากลุ่มแม่และเด็กแล้ว ความต้องการกลับแทบจะไม่ได้ลดลงไปเลย
               

         “ในขณะที่สินค้าอื่นยอดขายอาจลดลง แต่สำหรับสินค้ากลุ่มแม่และเด็กแล้ว กลับยังมีลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาอยู่เรื่อยๆ อาจเป็นเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกอยู่ดี แต่พฤติกรรมหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนไป คือ มีการเข้ามาสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์เยอะขึ้นมาก จึงทำให้เราต้องปรับตัวตามและเซ็ตระบบขึ้นมาใหม่ ซึ่งพ่อแม่สมัยนี้ค่อนข้างหาข้อมูลเก่งมาก และเขาพร้อมที่จะทุ่มให้กับลูกๆ ของพวกเขา
               

         “ซึ่งถือเป็นความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งของธุรกิจเราที่เกิดขึ้น ในเมื่อดีมานด์และซัพพลายมีการขยับเปลี่ยนไปจากแพตเทิร์นเดิม ตั้งแต่เส้นทางการผลิต การบริโภค การจำหน่ายสินค้าเปลี่ยนไปหมดเลย อย่างบางวัตถุดิบของเราต้องสั่งเข้ามาจากเกาหลีหรือประเทศอื่นๆ ไม่สามารถนำเข้ามาได้ ก็ต้องเปลี่ยนซัพพลายเออร์ใหม่ ซึ่งหากเรามานั่งท้อก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา สิ่งที่ต้องทำ คือ ต้องปรับตัวให้เร็ว โชคดีอีกอย่าง คือ เรามีน้องๆ ในทีมที่ดี แม้ช่วงนี้จะต้องลำบาก ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ต้อง Work Frome Home แต่ทุกคนก็เต็มที่และช่วยกันได้ดี ซึ่งทีมเวิร์กถือเป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะทำให้บริษัทเดินหน้าต่อไปหรือผ่านพ้นวิกฤตไปได้ในแต่ละครั้งนั่นเอง”





       โดยในอนาคตนอกจากเบาะนอนสำหรับเด็กแล้ว วรพรและวรฤดีเล่าว่าพวกเธอคงจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงเพิ่มช่วงอายุให้กว้างขึ้น เด็กโตแล้วก็สามารถใช้ได้ด้วย


        “ตอนนี้นอกจากเด็กเล็กแล้ว เราพยายามทำสินค้าออกมาตอบโจทย์เด็กในช่วงวัยที่เติบโตเพิ่มขึ้นด้วย เพราะอย่างตอนนี้ลูกของเราสองคนก็อายุ 6 ขวบแล้ว อายุห่างกันแค่ 18 วัน ตอนนั้นเขาเกิดก่อนที่เราจะสร้างแบรนด์ขึ้นมา ก็เลยไม่ทันได้ใช้เบาะนอนอันนี้ เราเลยคิดทำสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย อนาคตอาจจะทำมากกว่าเบาะและผ้าปู แต่ยังยืดหลักการเดิม คือ 1. ต้องเป็นสินค้าที่ปลอดภัย 2. ต้องสบายสำหรับเด็ก และ 3. ต้องส่งเสริมสุขภาพดีให้กับเด็กๆ อีกเรื่องที่ไม่ทิ้ง คือ เรื่องการหายใจผ่านได้ เพราะมันคือ ซิกเนเจอร์ของเราไปแล้ว” สองคุณแม่คู่แฝดกล่าวทิ้งท้าย





 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​