เปลี่ยนห้องพักโฮสเทลให้เป็นโต๊ะนั่งคาเฟ่ ไอเดียปรับตัวแบบเว้นระยะห่างสไตล์ Fun Café ถ่ายรูปสวย กระตุ้นยอดขายได้

TEXT : นิตยา สุเรียมมา

PHOTO : Fun Café Bangkok






      การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารคาเฟ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัว เพราะอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ แม้ภายหลังจะเริ่มมีการปลดล็อกจากภาครัฐให้กลับมานั่งรับประทานในร้านได้แบบเว้นระยะห่าง แต่ยังคงมีลูกค้าบางส่วนที่ไม่กล้ากลับมาใช้บริการเหมือนเก่า เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย


     ด้วยเหตุนี้ ฤทธิชัย พินิจวิชา เจ้าของร้าน Fun Café Bangkok คาเฟ่สไตล์โมเดิร์นที่มีคอนเซปต์อยากสร้างพื้นที่แห่งความสุขสนุกของทุกคน และมีเมนูซิกเนเจอร์ที่โด่งดังอย่าง “Fun Signature Canvas Cake” เพื่อให้ลูกค้าสามารถแต่งหน้าเค้กเองได้ จึงต่อยอดไอเดียดัดแปลงห้องพักที่มีอยู่ซึ่งเดิมเปิดเป็นโฮสเทลมาก่อนให้เป็นที่นั่งแบบไพรเวท สร้างความมั่นใจและปลอดภัยในการเข้าใช้บริการแก่ลูกค้า จนทำให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมาให้กับธุรกิจได้ในยามวิกฤตเช่นนี้





     “ไอเดียมันเริ่มมาหลังจากที่เราเริ่มเปิดรับลูกค้าให้เข้ามานั่งในร้านได้อีกครั้งหลังจากภาครัฐมีการประกาศปลดล็อก ซึ่งเราก็ทำตามทุกอย่างตั้งแต่จัดโต๊ะแบบให้นั่งเว้นระยะห่าง เอาโต๊ะออกไปครึ่งหนึ่งจาก 10 โต๊ะให้เหลือแค่ 5 โต๊ะ ซึ่งถือว่าน้อยมากในพื้นที่เกือบร้อยตารางเมตร พนักงานก็มีการตรวจวัดอุณหภูมิทุก 2 ชั่วโมง และสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ก็มีลูกค้าบางคนที่ยังกังวลสอบถามเข้ามาว่าสามารถเข้ามานั่งได้จริงไหมจะปลอดภัยหรือเปล่า


     “เราเลยได้ไอเดียว่าไหนๆ ก็มีห้องพักอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้เราทำโฮสเทลมาก่อนชื่อ FUN Hostel Bangkok แต่ลูกค้า 99 เปอร์เซ็นต์ คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลยทำให้ต้องปิดตัวลงชั่วคราว จึงคิดว่าถ้าเราลองเอามาดัดแปลงเป็นห้องไพรเวทให้ลูกค้าที่อยากมาคาเฟ่ แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัย ไม่อยากนั่งปะปนกับใครก็น่าจะดีนะ โดยเราก็ไม่ได้ลงทุนอะไรเพิ่มเลย แค่ดัดแปลงจากข้าวของที่มีอยู่มาใช้ตกแต่งห้องให้ดูสวยงามน่านั่งขึ้นเท่านั้น เพราะเดิมตอนทำโฮสเทลเราจะปล่อยให้เป็นพื้นที่โล่งๆ เพื่อให้ลูกค้าที่เข้าพักได้ใช้วางของ วางกระเป๋าเสื้อผ้า แต่พอปรับเป็นคาเฟ่ลูกค้าต้องการพร็อพสวยๆ เอาไว้ถ่ายรูป วิธีการตกแต่งเลยต้องต่างออกไปจากเดิม” ฤทธิชัยเล่าที่มาให้ฟัง





      เขาเล่าว่าวิธีการดังกล่าว นอกจากจะสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างประสบการณ์การมาคาเฟ่ในบรรยากาศที่แปลกใหม่ออกไปจากเดิม จากโต๊ะนั่งในร้านก็เปลี่ยนมาเป็นเตียงนอนนุ่มๆ แทน แถมมีพร็อพให้เลือกถ่ายรูปเยอะขึ้นด้วย จึงทำให้ลูกค้าสนใจเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น โดยเปิดให้บริการทั้งหมด 2 ห้องด้วยกัน เข้าใช้บริการได้ไม่เกินครั้งละ 2 คน คิดค่าบริการอยู่ที่ห้องละ 600 บาท มีเวลาให้นั่งเล่นได้ 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยค่าห้องที่จ่ายไปสามารถนำมาใช้เป็น Voucher แลกอาหารเครื่องดื่มได้ในราคา 600 บาทเช่นกัน



(บรรยากาศห้องพักโฮสเทลที่ดัดแปลงเป็นโต๊ะนั่งคาเฟ่)


      “สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับนอกจากความมั่นใจด้านความปลอดภัย ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับเขาด้วย แถมยังได้ถ่ายรูป 2 ฟิล คือ ในคาเฟ่และบรรยากาศในห้องพักด้วย ซึ่งลูกค้าเดี๋ยวนี้ชอบถ่ายรูป ฉะนั้นวิธีการนี้จึงสามารถช่วยดึงดูดเขาได้ว่าปลอดภัยแล้ว ยังได้รูปสวยๆ ด้วย”


       แม้จะเป็นการเพิ่มทางเลือกที่ปลอดภัยให้กับลูกค้ามากขึ้นแล้ว แต่ทางร้านเองก็มีมาตรการรักษาความสะอาดและปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้นมาอีก โดยถึงแม้จะเปิดให้บริการเพียง 2 ห้อง เพื่อจำกัดปริมาณลูกค้าแล้ว ยังมีการสลับช่วงเวลาการใช้งานออกไปอีก โดยไม่เปิดให้บริการพร้อมกันทั้งสองห้อง เช่น หากลูกค้าห้องแรกเข้าใช้บริการตอน 10 โมง ลูกค้าห้องที่สองจะเข้าใช้บริการได้ คือ ตอน 11 โมง สลับกันไปแบบนี้ตั้งแต่ 10.00 - 16.00 น. รวมแล้ว คือ 3 รอบต่อห้องต่อวันเท่านั้น





       หลังจากลูกค้าใช้บริการเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมีการทำความสะอาดทุกอย่างเหมือนเวลาลูกค้าเช็คเอาท์ออกจากห้องพักจริง ตั้งแต่เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนใหม่หมดทุกอย่าง ไปจนถึงการทำความสะอาดจุดต่างๆ ที่คิดว่าลูกค้าอาจสัมผัสด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอลล์ นอกจากนี้ยังมีการอบโอโซนเพื่อฆ่าเชื้อในอากาศทั้งในส่วนของห้องพักและตัวร้านด้านล่างที่เปิดให้บริการตามปกติด้วย


        “มันเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมา แต่ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้ในช่วงเวลานี้ และอย่างน้อยๆ ก็เป็นการการันตีรายได้ที่เข้ามา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วปกติลูกค้ามักจะสั่งเกินจากราคาห้องที่ต้องจ่ายด้วยกันทั้งนั้น ถามว่าทำไมเราไม่เปิดห้องให้บริการมากกว่านี้ หรือเน้นโปรโมตให้คนมาใช้บริการเยอะๆ เพราะจริงๆ เราก็ไม่ได้อยากให้คนมาใช้บริการเยอะเกินไป แต่ทำเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเท่านั้น ยังไงช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงโรคระบาดเราต้องเซฟทั้งลูกค้า พนักงาน และตัวเราเองด้วยไปในตัว”





        ถามว่าอนาคตหากได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าไปเรื่อยๆ อนาคตคิดจะต่อยอดนำไปใช้พัฒนาธุรกิจต่อไปหรือไม่ ฤทธิชัยตอบว่า


        “จริงๆ ก็เป็นคำถามที่เราเองก็ยังถามตัวเองอยู่ทุกวันนี้ แต่ลองมาคิดดูตามวัตถุประสงค์ของการทำขึ้นมา คือ ก็เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่กังวลเรื่องความปลอดภัย เราจึงพยายามหาโซลูชั่นมาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และจริงๆ คอนเซปต์ของร้านเรา คือ เราอยากเป็นพื้นที่แห่งความสนุกให้ทุกคนมาแล้วมีความสุขร่วมกันกลับไป เราไม่ใช่ร้านที่เน้นบริการดีเยี่ยม แต่เราดูแลและใส่ใจลูกค้าทุกคนเหมือนเพื่อนที่มาเที่ยวบ้านเพื่อน ลูกค้าของเราจะไม่ใช่แบบเข้ามาสั่งนั่งกินเสร็จแล้วก็ไป ดังนั้นการทำห้องแบบไพรเวทจริงๆ แล้วจึงไม่ได้ตอบโจทย์คอนเซปต์ธุรกิจที่เราวางไว้สักเท่าไหร่ ณ ตอนนี้เลยคิดว่าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจจะไม่ได้ทำต่อ แต่ไม่แน่ถ้าอนาคตเราสามารถหาโซลูชั่นให้เรามีปฏิสัมพันธ์และสามารถดูแลลูกค้าได้มากขึ้นกว่านี้ ก็อาจจะทำต่อไป” ฤทธิชัยกล่าวทิ้งท้าย
 





www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​