BLK & Bold กาแฟของเพื่อนซี้เริ่มจากโรงรถ ผ่านไป 4 ปีมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ ทำกำไร 30 ล้านบาทต่อปี

 

TEXT: วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์

     จากธุรกิจเมล็ดกาแฟคั่วบรรจุถุงของเพื่อนรักในวัยเด็ก 2 คนที่ทำกันแบบมือสมัครเล่นในโรงรถที่บ้าน ภายในเวลาเพียง 4 ปีกลับเติบโตกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีโรงงานผลิตและขึ้นชั้นในซูเปอร์มาร์เก็ตกว่าครึ่งหมื่นแห่งทั่วสหรัฐฯ ทำกำไรแตะ 30 ล้านบาทต่อปี ทั้งยังได้รับการจดจำในฐานะแบรนด์กาแฟแบรนด์ที่วางจำหน่ายขายทั่วประเทศเจ้าแรกที่ดำเนินกิจการโดยพลเมืองเชื้อสายแอฟริกา

     และเป็นแบรนด์กาแฟแบรนด์แรกของผู้ประกอบการผิวดำที่ได้เซ็นสัญญากับสมาคมบาสเก็ตบอลแห่งชาติหรือ NBA ในการร่วมกันผลิตกาแฟรสชาติใหม่ชื่อ The Warm Up โดยมีอีกหลายแบรนด์ดังตบเท้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ ห้างทาร์เก็ต อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลกอย่างอเมซอน และไอศกรีมเบน & เจอร์รี่ เป็นต้น แบรนด์กาแฟที่กำลังเอ่ยถึงคือ BLK & Bold Coffee ซึ่งก่อตั้งโดยเพอร์เนล ซีซาร์ และร็อด จอห์นสัน วัย 34 ปีซึ่งเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็กตั้งแต่ตอนที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองแกรี่ รัฐอินเดียน่า

     ก่อนหน้าจะชวนกันลงขันทำธุรกิจ ซีซาร์และจอห์นสันทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือนโดยจอห์นสันทำงานเกี่ยวกับการระดมทุน ส่วนซีซาร์ทำงานด้านฝ่ายขายให้กับห้างทาร์เก็ต พวกเขาก็เหมือนคนในวัยมิลเลนเนี่ยลทั่วไปที่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เนื่องจากทั้งคู่หลงใหลในเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจึชักชวนกันทำธุรกิจกาแฟ ระหว่างศึกษาข้อมูลก็พบว่าคนผิวดำอเมริกันกับอุตสาหกรรมกาแฟนั้นเกี่ยวพันกันน้อยมากไม่ว่าจะฐานะผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการ งานวิจัยจากสมาพันธ์กาแฟแห่งชาติระบุคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาเป็นกลุ่มที่ดื่มกาแฟค่อนข้างน้อย

     อย่างไรก็ตาม เพื่อนรักทั้งสองตัดสินใจลงขัน 22,000 ดอลลาร์หรือเกือบ 8 แสนบาทในการเริ่มต้นธุรกิจเมื่อเดือนมิย. 2018 โดยใช้โรงรถบ้านซีซาร์ในเมืองเดสมอยส์ รัฐไอโอวาเป็นสถานที่คั่วเมล็ดกาแฟและบรรจุถุง โดยเน้นทำการตลาดผ่านโซเชี่ยลมีเดีย จัดทำเว็บไซต์ และเดินสายแนะนำผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้าเพื่อให้แบรนด์ BLK & Bold เป็นที่รู้จัก ในช่วง 8 เดือนแรกของการเปิดตัว พวกเขาไปร่วมงานแสดงสินค้าถึง 14 งานด้วยกัน ทำให้แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จัก นอกจากจำหน่ายตรงแก่ผู้บริโภคผ่านเว็บไซต์ BLK & Bold ยังขายส่งให้กับร้านกาแฟ และร้านค้าปลีกอีกด้วย

     เป็นเวลากว่าปีที่ธุรกิจดำเนินไปได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเดือนเมย. ปี 2020 กาแฟ BLK & Bold ก็ได้รับการประชาสัมพันธ์ครั้งใหญ่แบบไม่ทันตั้งเมื่อเคลลี่ โรว์แลนด์ นักร้องสมาชิกวงเดสทินีส์ไชลด์ที่มีชื่อเสียงได้โปรโมทซิงเกิ้ลเพลง “คอฟฟี่” ด้วยการแจกกาแฟ BLK & Bold ให้บรรดาแฟนคลับ ถัดมาอีกเดือนเดียว เกิดเหตุการณ์จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่เสียชีวิตขณะถูกตำรวจจับกุมทำให้ลุกลามกลายเป็นกระแส Black Lives Matter ไปทั่วประเทศ

     ด้วยความที่เป็นแบรนด์กาแฟของผู้ประกอบการผิวดำรายเดียว BLK & Bold จึงได้รับอานิสงค์และได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น ยอดขายทางเว็บไซต์ของบริษัทช่วงไตรมาส 2 พุ่งขึ้นเกือบ 40 เท่าและขึ้นแท่นเป็นกาแฟที่ขายดีสุดในอเมซอน ยังไม่พอ เดือนกันยายนปีเดียวกัน ส้มยังหล่นต่อเนื่องเมื่อ BLK & Bold ได้รับรางวัลวิสาหกิจเพื่อชุมชนแห่งปีจากบริษัทข้อมูลธุรกิจ Official Black Wall Street อันสืบเนื่องมาจากการบริจาคเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง

     ทั้งนี้ นับตั้งแต่ตัดสินใจทำธุรกิจ ซีซาร์และจอห์นสันได้ตั้งปณิธานจะทำธุรกิจเพื่อสังคมด้วยการบริจาค 5 เปอร์เซ็นต์ของผลกำไรให้กับองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กด้อยโอกาสในสังคม และพวกเขาก็ปฏิบัติเช่นนั้นต่อเนื่องมาโดยตลอด การแบ่งปันเพื่อสังคมนี่เองที่ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องนี้ หลังจากนั้น BLK & Bold ก็มีโอกาสได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงการขยับขยายไปสร้างโรงคั่วขนาด 20,000 ตารางฟุตเพื่อผลิตสินค้าอีกด้วย

     กระแสอาจทำให้เป็นที่รู้จัก แต่สิ่งที่สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจคือคุณภาพของสินค้า BLK & Bold ถูกจัดให้เป็น specialty coffee หรือกาแฟพิเศษที่มีกระบวนการผลิตมีคุณภาพได้คะแนนเกิน 80 โดยแหล่งที่มาของเมล็ดกาแฟมาจากหลายประเทศ อาทิ ฮอนดูรัส เอธิโอเปีย เอลซาลวาดอร์ โคลอมเบีย และบุรุนดี นอกจากผลิตภัณฑ์กาแฟ BLK & Bold ยังผลิตชาอีกด้วย ปัจจุบันมีวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกกว่า 5,600 แห่งทั่วสหรัฐฯ มีการประเมินว่าปี 2021 ที่ผ่านมา BLK & Bold ทำกำไร 840,000 ดอลลาร์ (29.9 ล้านบาท)

     อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกาแฟนั้นมีการแข่งขันที่สูงมากทั้งจากรายย่อย รายใหญ่ ทั้งยังมีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาธุรกิจให้เติบโตจึงเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระแสการสนับสนุนธุรกิจคนผิวดำจางหาย หรือยอดขายออนไลน์ที่เคยพุ่งช่วงวิกฤติโควิดแผ่วลง ซีซาร์เผยว่าเขาเตรียมรับมือด้วยการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการตลาด เป็นต้นว่าการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ กาแฟสำเร็จรูปพร้อมดื่ม และการจับมือเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงเพื่อรังสรรค์ผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ ๆ ด้วยกัน

Sources:

www.industriousoffice.com/blog/industrious/get-to-know-blk-bold-speciality-beverages

https://capsocagency.com/case-studies/2020-blk-and-bold-case-study-9jtew

www.cnbc.com/2021/09/30/how-the-first-black-owned-national-coffee-brand-hit-seven-figure-sales.html

www.bbc.com/news/business-54146695

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​