บ้านข้าวกล้อง บ้านพอเพียง ชีวิตเพียงพอ

 

เรื่อง : วิภานี กาญจนาภิญโญกุล

 

       ในยุคที่ร้านกรีนเกิดขึ้นและล้มหายไปก็มาก ร้านที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 อย่างมั่นคงและกลายมาเป็นร้านค้าขวัญใจชาวสวนธนบุรีรมย์อย่าง ‘บ้านข้าวกล้อง’ จึงเป็นอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจในฐานะร้านกรีนยุคแรกเริ่มที่ยังคงเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้

       ด้วยความเป็นพี่น้องกับร้าน ‘โป๊ะผัก’ คนทั่วไปอาจจะคิดว่าไม่เห็นแปลกอะไรที่น้องสาวอย่าง ทิพย์รัตน์ หิริวัฒนวงศ์ จะก้าวเดินตามรอยเท้าของครอบครัวด้วยการมีร้านกรีนสักร้านเป็นของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงเจ้าตัวบอกเล่าว่าเป็นการตกบันไดพลอยโจนเสียมากกว่า

       “ตอนนั้นทำงานประจำค่ะ เงินเดือนสูงที่สุดในบ้านเลย พอคิดว่าจะออกจากงานก็กังวลว่าจะเอาเงินที่ไหนใช้ แล้วจะทำอะไรดี พอดีพี่สาวเปิดร้านนี้อยู่ แล้วเขายกของทำอะไรไม่ค่อยไหว ต้องเลี้ยงลูกอีกสองคนด้วย ก็เลยคิดว่าจะออกมาช่วยพี่สาวสักสามเดือน แล้วแม่ก็ไม่สบาย ไปๆ มาๆ จากสามเดือนกลายเป็นสิบสามปีแล้วค่ะ” เจ้าของร้านวัยห้าสิบเล่าด้วยความร่าเริงกระฉับกระเฉง แบบที่ไม่บอกตัวเลขคงไม่มีใครเดาอายุของเธอได้แน่นอน

       ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แม้ครอบครัวจะผันตัวเองจากอาชีพช่างไม้ด้วยการรับผักอินทรีย์มาขายเป็นร้านแรกๆ ของบ้านเราเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่การมาเปิดร้านใหม่ในซอยลึกย่านพุทธบูชาที่เชื่อมกับซอยประชาอุทิศ ใกล้กับมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรีนั้นดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่ร้านกรีนเล็กๆ จะอยู่ได้ในยุคที่แทบไม่มีใครรู้จักว่าข้าวกล้องหรือผักอินทรีย์คืออะไร

       พอดีพี่เขยมาดูที่นี่แล้วชอบ เพราะมีต้นไม้เยอะ ใกล้สวนสาธารณะ (สวนธนบุรีรมย์) ซึ่งมีกลุ่มคนรักสุขภาพมาออกกำลังกาย ก็คิดว่าน่าจะขายได้ แต่พอมาเปิดจริงๆ แค่ข้าวกล้องคนยังไม่รู้เลยว่าข้าวกล้องคืออะไร เขาคิดว่าเป็นข้าวแดงซึ่งมันเป็นข้าวมันปูไม่เหมือนกัน อย่างผักอินทรีย์อะไรคนก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่ที่อยู่ได้ก็เพราะน้ำอาร์ซีซึ่งเพิ่งจะได้รับความนิยมจากกระแสชีวจิตในบ้านเราช่วงนั้น”

       บ้านข้าวกล้องค่อยๆ เจริญเติบโตจนกระทั่งพี่สาวแยกไปเปิดอีกร้านส่วนร้านนี้มอบให้น้องสาวดูแลเองคนเดียว ถามว่าอยู่ได้แบบร่ำรวย ถอยรถคันหรูๆ มาขับก็คงไม่ใช่ หากหัวใจสำคัญนั้นเจ้าของร้านบอกว่าอยู่ที่ความ ‘พอเพียง’ มากกว่า

       “เศรษฐกิจพอเพียงในแบบของในหลวงคือหัวใจที่ทำให้ร้านกรีนอยู่ได้ อย่างร้านนี้ เราก็ยังเช่าเขาอยู่ เพราะเราไม่มีเงินซื้อเอง แต่ว่าเรามีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ ส่งหลานคนหนึ่งเรียนหนังสือได้ มีเงินเหลือเก็บออมบ้าง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ตามแฟชั่น มีความภูมิใจในอาชีพของตัวเอง มีวิถีการดำเนินชีวิตในแบบของตัวเองที่ทำให้เราไม่ด้อยกว่าคนอื่น”

       ต่างไปจากวิถีชีวิตของคนเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นอยู่ซึ่งต้องอาศัยวัตถุภายนอกทำให้รู้สึกอิ่มสุขจึงต้องดิ้นรนขวนขวายนำพามาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ อีกนัยหนึ่งก็พอจะบอกได้ว่า คนกลุ่มนี้กลายมาเป็นร้านค้าของร้านกรีนในยุคนี้ด้วย

      “ร้านนี้อยู่ได้ด้วยลูกค้าประจำครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะเป็นคนป่วยกับคนที่มีโอกาสจะดูแลรักษาสุขภาพก็ทำบ้างแต่ไม่ได้ทำเป็นประจำ คนที่เข้ามาในร้านก็จะแตกต่างกัน คนที่ชอบดูแลสุขภาพ เขาก็จะเดินเข้ามาในร้านโดยที่หัวไม่ว่าง เขาเข้ามาเติมเต็มแลกเปลี่ยนความรู้ให้กำลังใจกัน เป็นเพื่อนทางจิตวิญญาณของเราไปแล้ว” 

       การมาซื้อของในร้านนี้จึงไม่ได้รับเพียงสินค้าคุณภาพที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีและมิตรภาพจากคนขายผู้เอื้ออาทรต่อทุกคนแล้ว แต่ยังได้รับความรู้จากประสบการณ์ตรงของทิพย์รัตน์ที่หมั่นบ่มเพาะความรู้ของเธอให้งอกงามอยู่เสมอทั้งในศาสตร์ด้านการแพทย์แบบธรรมชาติบำบัดตลอดจนวิถีธรรมจรรโลงใจที่ทำให้เธอกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของลูกค้าอีกหลายคน

       “คนที่มาที่ร้านใครเป็นอะไรก็ได้พูดคุยกัน อะไรที่เราปฏิบัติมาแล้ว เราก็ได้แนะนำเขา ของที่ขายเราลองใช้เองหมด ดีไม่ดียังไงบอกตรงๆ ส่วนใครอยากรู้เรื่องการดูแลตัวเองที่นี่ก็บอกหมดไม่มีกั๊ก เพราะเราถือว่าการดูแลร้านนี้เป็นกำไรชีวิต เราสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่ป่วย ได้ทำอะไรให้ครอบครัว ได้ให้กับสังคมของเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”

       ด้วยสโลแกนของเธอที่ว่า “ความพอใจสูงสุดของข้าพเจ้าคือเป้าหมายสูงสูดของร้านนี้”  สินค้าทุกตัวจึงไม่ใช่แค่ขายแต่ผ่านการใช้เองครบทุกตัว

       แต่ทั้งนี้ หากลูกค้ามาถามหาอะไรเธอก็มีให้ทั้งนั้นเพียงแต่จะเน้นมากหน่อยสำหรับสินค้าที่ใช้เองแล้วดีจริง จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกค้าจะให้ความเชื่อถือในคำแนะนำและความจริงใจของเธอที่มีต่อผู้บริโภคอันกลายมาเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ร้านกรีนหน้าตาธรรมดาๆ นี้อยู่ในใจของคนรักสุขภาพย่านนี้มาตลอดสิบกว่าปี

       ทุกวันนี้และในอนาคตอีกหลายๆ ปีข้างหน้า ร้านบ้านข้าวกล้องจะยังคงเปิดให้การต้อนรับทุกคนด้วยน้ำใจไมตรีไปอีกนานแสนนานแบบที่เจ้าของร้านบอกว่า “ถ้าไม่หมดแรงก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ” เพราะการทำงานคือการรักษาสุขภาพที่ดีให้อยู่กับตัวเอง อีกทั้งยังมีความสุขสนุกได้ทุกวัน ถ้าไม่เชื่อต้องลองแวะมาพูดคุยกับเธอได้ที่นี่...

 

ร้านบ้านข้าวกล้อง
เปิดทุกวันเว้นวันอาทิตย์
08.00-21.00 น.
โทร. 0-2874-8315

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

Nyana Nyana Eco Fashion อดีตสถาปนิกนักสู้มะเร็ง สู่เจ้าของแบรนด์แฟชั่นออร์แกนิก เป็นมิตรต่อผู้สวมใส่ และสิ่งแวดล้อม

Nyana Nyana Eco Fashion แบรนด์แฟชั่นของอดีตสถาปนิกหญิงสิงคโปร์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้พบว่าป่วยเป็นมะเร็ง แต่ “Clara Simanjuntak” กลับใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต ทำสิ่งดีๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจากผ้าออร์แกนิก

บ้านโอบอุ่น ธุรกิจเล็กๆ ของนักศึกษาพยาบาล ที่ทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนกัน

พาไปรู้จักบ้านโอบอุ่น ธุรกิจโฮมสเตย์เล็กๆ ที่ปลูกขึ้นกลางทุ่ง ของ อั้ม-พัชราภา อ่ำปั้นนักศึกษาพยาบาล ที่นั่งรถไฟจากพิษณุโลกไปเชียงดาวทุกสัปดาห์เพื่อมาทำโฮมสเตย์เล็กๆ ที่เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อนกัน