Taitier สบู่สาย Realistic ฝีมือคนไทย เหมือนจนตั้งราคาได้กว่า 5,000 บาทต่อก้อน!!   

Text: VaViz

Photo: Taitier


     “เหมือนจนอึ้ง ทึ่งจนต้องหยิบมาชิม” ประโยคนี้คงจะไม่แปลกอะไร ถ้านำมาใช้ในบริบทของของกิน แต่สิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้กลับเป็น “สบู่สุด Realistic” ผลงานสุดคราฟต์ของแบรนด์ไทยอย่าง Taitier ที่ สามัญ สังข์มุสิกานนท์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เล่าให้ฟังว่า ถึงแม้จะย้ำนักย้ำหนาและแจ้งอย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือสบู่ แต่ยังมีผู้กล้าที่ไม่ยอมเชื่อและลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง

     “ตอนนั้นเราทำเป็นเซ็ตผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ วางตั้งโชว์ไว้เป็น Display แล้วมีลูกค้าต่างชาติเดินมาเห็น และหยิบตัวราสป์เบอร์รี่ที่เราทำเป็นลูกเล็กๆ ขึ้นมา ซึ่งเราได้แจ้งแล้วว่ามันคือสบู่ แต่เขาไม่เชื่อแถมยังกินให้ดูต่อหน้าต่อตา ผลก็คือฟองเต็มปากเลยต้องรีบคายทิ้ง”

     ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีลูกค้าเข้าใจผิดว่า สบู่ที่เห็นตรงหน้านั้นคือผลไม้จริงๆ

     “ทุกวันนี้ก็ยังเจอเรื่องแบบนี้อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบไม่เชื่อแล้วกัด จึงทำให้เราต้องสูญเสียสินค้าไปไม่น้อย จากการมีรอยลูกค้ากัด เราเลยต้องทำการคัดทิ้ง พร้อมเพิ่มการสื่อสารให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยของทั้งลูกค้าและสินค้า”

     ยกให้เป็นหนึ่งในอันดับ Waste สุดแปลกของธุรกิจ ที่การันตีให้แล้วว่า ต้องเหมือนของจริงแบบตะโกนแน่ๆ.....ว่าแต่ อะไรคือเบื้องหลังของความเหมือนจริงที่แสนทรงพลังนี้กัน?

Contrast ให้สุด กระตุกความเซอร์ไพรส์

     “ถ้าศิลปะไม่จำเป็นต้องอยู่ในหอศิลป์หรือแกลอรี่...แล้วจะไปอยู่ที่ไหน?”

     “จะทำให้ศิลปะเป็นของใช้สอยหรือจับต้องได้ง่ายขึ้น...ทำได้หรือเปล่า? ถ้าได้ล่ะ! จะเป็นแบบไหน?”

     คำถามตั้งต้นเมื่อ 9 ปีที่แล้วที่พาหนุ่มจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมอีก 2 ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์อย่าง ปฏิพัทธิ์ จิตรภักดี และวุฒิไกร ใจจักษ์ มาไกลจนถึงวันนี้ ในวันที่มีจุดจำหน่ายอยู่ในโมเดิร์นเทรดในประเทศไทยถึง 109 สาขา และส่งออกไปกว่า 21 ประเทศทั่วโลก

     “นั่นคือที่มาที่ทำให้เราจงใจเลือก Material เป็นสบู่ และทำตัว Content สินค้าให้มีความ Contrast กัน เพื่อสร้างการรับรู้ทางความรู้สึกที่แตกต่างกัน เช่น เราเดินไปเห็นผลไม้สักผล แต่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือสบู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน”

     ดังนั้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้สุด “ความเหมือนจริง” หรือ Realistic จึงถูกหยิบมาเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างศิลปะและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์  

       

     “ความเหมือนจริงของผลิตภัณฑ์เปรียบเสมือน “ประตูบานแรก” ที่ทำให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อสินค้าใกล้เคียงกับสิ่งที่ลูกค้าเคยรู้จักหรือเคยมีประสบการณ์ จะทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ทันที เหมือนเราได้ดึงเอาความทรงจำหรือความรู้สึกบางอย่างในใจเขากลับมาโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ”

     เพราะฉะนั้น การชูโรงด้วยความเหมือนจริงจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงระหว่างลูกค้าและสินค้า ที่เป็นเหมือน “การทบทวนความรู้สึก” หรือ “การซื้อด้วยหัวใจ” มากกว่าด้วยเหตุผล

     “ลูกค้าหลายคนเลือกซื้อสินค้าของเรา เพราะทำให้พวกเขานึกถึงบางช่วงเวลาหรือประสบการณ์ที่มีความหมาย เช่น กลิ่นผลไม้ที่เคยกินตอนเด็กๆ หรือดอกไม้ที่เคยได้จากคนสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจที่สุด เพราะเราสามารถสร้าง “คุณค่าทางอารมณ์” ผ่านดีไซน์ที่น้อยแต่มากความหมายได้”

ละเอียดทุกดอก ถึงกล้าออกผลิตภัณฑ์

“เรามีความตั้งใจในทุกขั้นตอน

เรามองว่าสินค้าไม่ใช่แค่ของใช้หรือของฝาก

แต่คือ “ชิ้นงานศิลปะเล็กๆ” ที่สามารถสื่อสารกับความรู้สึกของผู้คนได้”

     จะเหมือนจริงได้ต้องอาศัยความพิถีพิถันและความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่เน้นย้ำถึงจุดแข็งและความโดดเด่นของแบรนด์

     “เราใส่ใจในทุกดีเทล เช่น การทำมังคุดลูกหนึ่ง เราจะทำให้มีรอยช้ำสีน้ำตาลบนกลีบที่เป็นสีเขียวอยู่บ้าง หรือมียางของมังคุดติดอยู่บ้าง ซึ่งจะช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจว่า สบู่ก้อนนี้ใส่ใจถึงขนาดที่ว่ามีรอยช้ำ รอยขูดขีด หรือมียางผลไม้ด้วย”

     แต่ก่อนจะถึงการลงสีหรือตกแต่งให้เหมือนของจริงอย่างที่ว่า คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้นั้นเป็นสิ่งที่ สามัญ ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

     “เราใช้กลีเซอรีนจากธรรมชาติเป็นสารตั้งต้นในการทำสบู่ ซึ่งจะแตกต่างจากท้องตลาดทั่วไปที่จะใช้เป็นสบู่ที่ผลิตด้วยเม็ดสบู่หรือที่เรียกว่าสบู่โซปชิป (Soap Chip) ที่อัดกันจนเป็นก้อน แต่ของเราจะใช้เป็นการหลอมด้วยความร้อน เพื่อให้สามารถเทขึ้นรูปและกำหนดเป็นรูปทรงที่เราต้องการได้”

     แม้ว่ากระบวนการผลิตอาจจะเหมือนโรงงานทั่วๆ ไป แต่ด้วย Know-how หรือความรู้ที่มี ทำให้สบู่ของ Taitier มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

     “เราต้องทำการรีเสิร์ชรูปแบบก่อนว่าเราอยากจะได้รูปแบบไหน แล้วค่อยทำการ Sketch เพื่อวิเคราะห์ว่าจะสามารถปั้นขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งหลังจากที่ปั้นแม่แบบได้แล้ว เราต้องวิเคราะห์ต่ออีกว่า จะสามารถเข้ากับขีดจำกัดของสบู่กลีเซอรีนได้หรือไม่ จะประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้ากันได้อย่างไร แล้วค่อยส่งต่อไปยังแผนกต่างๆ ตามขั้นตอน”

     ดังนั้น ทุกรายละเอียดจึงมองข้ามไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสีที่ใช้ที่ต้องใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด ซึ่งต้องอยู่ในเกรดของเครื่องสำอาง ถ้าสีในประเทศใช้ไม่ได้ก็ต้องทำการนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อให้ผลงานออกมาไม่ต่างจากของจริง

ก่อนจะเหมือน มี Challenge เป็นเพื่อนมาก่อน   

“พวกเราไม่มีใครมีพื้นฐานด้านธุรกิจเลย

การเริ่มต้นจึงเหมือน “ต้องเรียนใหม่หมดในโลกแห่งความเป็นจริง” ที่ต่างจากในห้องเรียนโดยสิ้นเชิง

ทุกอย่างต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ปัญหาจริง และการลงมือทำจริงๆ

เราเจอทั้งความท้าทายจากตลาด การบริหาร และการจัดการทีม แต่เราก็ใช้ทุกวินาทีในการเรียนรู้”

     แน่นอนว่ากว่าที่จะทำสินค้าเตะตาได้เหมือนทุกวันนี้ แบรนด์ต้องเผชิญกับความท้าทายมาไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งการไม่มีพื้นฐานทางด้านธุรกิจ ข้อจำกัดของตัววัตถุดิบ และการถ่ายทอดทักษะให้พนักงานสามารถทำชิ้นงานตามที่ออกแบบได้

     “หลักๆ คือการออกแบบของเราต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของวัตถุดิบ เพราะถ้าเราอยากจะทำให้เหมือนมากๆ เราก็ต้องหาสีที่จะใช้ในเกรดคอสเมติกให้ได้ อีกทั้งการขึ้นรูปให้เหมือนงานศิลปะหรือเหมือนผลไม้มากที่สุดนั้นก็ต้องดูเรื่องของความยืดหยุ่นหรือการคลายตัวของสบู่ด้วย ดังนั้น ความท้าทายจึงอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้งานออกมามีรูปแบบแรกอย่างที่เราตั้งใจไว้”

    ซึ่งต้องบอกเลยว่า แบรนด์ต้องใช้เวลาเป็นปีในช่วงแรกกว่าที่จะนำสินค้าออกมาให้ผู้คนเชยชมได้ เพราะต้องเจอทั้งสีเฟดตัวลงทั้งๆ ที่คิดว่าเจอสีที่ใช่แล้ว รูปทรงที่ได้ไม่เหมือนที่ต้องการ และความเหมือนจริงก็ยังมีไม่มากเท่าทุกวันนี้

     “สินค้าทุกชิ้นของเราเป็นงานแฮนด์เมด ซึ่งต้องอาศัยทั้งฝีมือและประสบการณ์ ความยากจึงอยู่ที่การฝึกทักษะในการผลิต เพราะสินค้าบางแบบใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะสร้างคนที่มีความเชี่ยวชาญพอจะทำให้ได้คุณภาพตามที่เราต้องการ ดังนั้น ก่อนที่พนักงานในแต่ละแผนกจะได้ทำสินค้าตัวจริง ทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอย่างต่ำคนละประมาณ 4 - 5 เดือน”

    นอกจากนี้ แบรนด์ยังมีช่องว่างระหว่างการออกแบบกับการผลิตจริงให้ต้องเผชิญ เพราะแม้ว่าจะมีไอเดียหรือดีไซน์ที่พร้อม แต่กว่าที่จะสามารถถ่ายทอดไอเดียนั้นออกมาเป็นชิ้นงานได้จริง ต้องผ่านกระบวนการทดลองและฝึกฝนมากมาย ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายแบบที่ได้ออกแบบไว้แล้ว แต่ยังรอจังหวะที่ทีมมีความพร้อมในการผลิตอย่างแท้จริง

เพิ่มมูลค่า ปั้นสบู่ราคาก้อนละครึ่งหมื่น!

“เราอยากให้ Taitier เป็นตัวแทนของสินค้าที่สวยงาม

มีความคิดสร้างสรรค์ และมีเรื่องราวที่ส่งต่อได้”

     การทำโปรดักต์ที่เหมือนจริงและมี Value สูงๆ แบบนี้ สามัญ ชี้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบรนด์สามารถตั้งราคาสินค้าได้หลายกลุ่ม หลายราคา โดยเฉพาะของ Taitier ที่แบ่งได้ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันบาทต่อก้อน  

     “สบู่ของเราเริ่มตั้งแต่ 250 บาท ไปจนถึงกว่า 5,000 บาทต่อ 1 ก้อน ซึ่งราคาที่หลักครึ่งหมื่นแบบนี้จะเป็นสบู่แบบพิเศษ ที่ตอนแรกเราตั้งใจทำเอาไว้เป็นตัวโชว์ เพราะว่าทำยากมาก แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ลูกค้ามีความต้องการซื้อ เราเลยจำเป็นต้องบรรจุเข้ามาอยู่ในรายการขายด้วย เช่น สับปะรดลูกใหญ่ แตงโมลูกใหญ่ที่สามารถผ่าออกมาได้ไม่ต่างจากของจริง”

     นอกจากสบู่ผลไม้ที่เป็นสินค้าเรือธงของแบรนด์แล้ว ยังมีสบู่ในรูปแบบอื่นๆ อีกด้วย เช่น ข้าวของเครื่องใช้ ของกิน ไปจนถึงรูปแบบของนามธรรม ที่วางจำหน่ายรวมกันแล้วกว่า 100 แบบ

     “เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า เรามีการกำหนดเป็นกฎเลยว่า หากเป็นอาหารการกินหรืออาหารคาว-หวาน เช่น สบู่เบอร์เกอร์ สบู่โดนัท เราจะไม่ใส่กลิ่นให้เหมือนกับรูปแบบต้นทาง เพื่อป้องกันความสับสน”

     แม้วันนี้ Taitier จะก้าวมาได้ไกลกว่าที่ผู้ก่อตั้งได้เคยวาดฝันเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้แบรนด์หยุดเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อเป้าหมายในอนาคตนั้นถูกปักไปที่การขยายตลาดไปต่างประเทศให้มากขึ้น พร้อมๆ กับสร้างการรับรู้แบรนด์ในเมืองไทย

     “ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติสัก 80% และคนไทย 20% รวมไปถึงผู้ที่ชื่นชอบและสนใจในงานคราฟต์ เราอยากขยาย Taitier ไปในประเทศต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและประสบการณ์ของแบรนด์เราได้มากขึ้น รวมถึงการขยายไลน์สินค้าในรูปแบบใหม่ๆ ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้เช่นเดิม”

     ก่อนจากกันไป สามัญ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า หัวใจหลักในการทำธุรกิจของเขานั้นมาจาก Passion และการหาคำตอบจากการตั้งสมมติฐานที่ว่า...อยากจะทำสบู่ให้เหมือนจริงและสวยที่สุดนั้นเป็นไปได้หรือไม่? และจะทำให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนหรือลูกค้าได้หรือเปล่า? เท่านั้นเอง...พร้อมยึดสิ่งนี้เป็นแนวทางในการดำเนินงานเรื่อยมา

     “ในการทำอะไรสักอย่าง ความหลงใหลนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมันจะทำให้เรามีความแข็งแรงที่จะไปเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ ที่อาจถาโถมเข้ามาในการทำธุรกิจ ดังนั้น หากเรามีความหลงใหลอยู่ในตัวงานที่เราทำ มันจะเป็นจุดตั้งต้นที่แข็งแรง และเป็นเกราะป้องกันไม่ให้อย่างอื่นเข้ามากระทบเราได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามี Passion มากพอ มีความตั้งใจมากพอ ผลลัพธ์ที่ดีก็จะตามมาเอง”   

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

นวัตกรรมจาก Rehyphen อัปไซเคิลเทปคาสเซ็ตเก่า ให้เป็นผ้าผืนลายลวดลายเฉพาะตัว

การรีดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา เมื่อ Rehyphen เปลี่ยนเทปคาสเซ็ตเก่าให้เป็นเนื้อผ้าล้ำสไตล์ ใส่ได้จริง แถมยังเล่าเรื่องความยั่งยืนได้

สาวผมยาวต้องถูกใจสิ่งนี้! Pony Cap ตัวช่วยสระผมแบบใหม่ ที่ให้คุณสระแค่ครึ่งหัว ก็สะอาด แห้งเร็วขึ้น

รู้จัก “Pony Cap” ถุงครอบป้องกันผมเปียกขึ้นมา เพื่อใช้คลุมส่วนของเส้นผมที่ไม่ต้องการให้เปียก โดยทำมาจากผ้าโพลีเอสเตอร์ ไอเดียธุรกิจที่เกิดจาก Pain Point ของสาวผมยาว

ปั้น Ocare Health Hub ยอมขาดทุน 3 ปีก่อนมีรายได้ 8 หลัก

เจาะลึกบทเรียนจาก พญ.ชุติมา ดุลมณี (หมอออม) CEO Ocare Health Hub ที่กล้าทิ้งความมั่นคงของคลินิกแพทย์ สู่สนามรบ Health Tech ที่ไร้กำไรในช่วง 3 ปีแรก เพื่อหาแนวทางสร้าง System ที่ปลดล็อกอิสรภาพทางธุรกิจทุบกำแพงรายได้เดิม