คิดแบบ “Top” วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ทายาทรุ่นที่ 3 เด็กสมบูรณ์ ทุบคำดูถูกสู่การปั้นอาณาจักรออนไลน์ยอดขายทะลุล้าน

Text: VaViz

Photo:  Deksomboon Fan Page


“มีคนพูดกับผมตลอดเวลาว่า รุ่นที่ 1 สร้าง รุ่นที่ 2 สานต่อ รุ่นที่ 3 เจ๊ง

....เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่จะไปรู้อะไร จะทำอะไรได้บ้าง....”

     คือสิ่งที่ ท็อป - วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ กรรมการบริหารและผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายในประเทศ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด ผู้ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ได้ยินอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นทั้งความกดดันและคำดูถูกในเวลาเดียวกัน ใครเจอแบบนี้เข้าไปทุกเมื่อเชื่อวัน อาจจะท้อและพร้อมถอย แต่ไม่ใช่กับเขาคนนี้ที่เดินหน้าพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มสูบ พร้อมตั้งเป้าสร้าง Legacy ให้เป็นที่จดจำ โดยไม่ถูกบดบังหรือต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของรุ่นพ่อ

     “ผมพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ และหาว่าอะไรคือจุดที่ทำให้ผมแตกต่างและสามารถสร้าง Legacy ให้กับตัวผมเองได้ ที่จะทำให้ถูกจดจำว่านี่คือ ทายาท Generation ที่ 3 ที่ทำอะไรแปลกใหม่ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สิ่งที่คุณพ่อทำมา ซึ่งผมก็พยายามพิสูจน์ตัวเองมาตลอด”

     โดยความสำเร็จที่คนรุ่นพ่อได้สร้างไว้อย่างแข็งแกร่ง หนีไม่พ้นการสืบสาน “ซีอิ๊วขาว ตราเด็กสมบูรณ์” ให้ยังคงอยู่คู่กับคนไทย และวางขายในช่องทางออฟไลน์ตามร้านรวงหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งจุดนี้ช่างสวนทางกับการขายออนไลน์ ที่ทำยอดขายได้เพียง 5 หมื่นบาท ใน Day 1 ที่ทายาทผู้นี้เข้ามาร่วมกุมบังเหียน

     “ในขณะที่สเกลของบริษัทใหญ่มากๆ แต่เราขายอยู่ในออนไลน์ได้แค่ 5 หมื่นบาท ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว เราเลยมาทำในส่วนของ e-Commerce และช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพิ่มเติม จนกระทั่งขยับยอดขาย จากที่เคยได้หลักหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน และจากล้านเป็นหลายๆ ล้านได้”

     และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ วสุพล ได้ปูทางสร้าง Legacy ของตัวเอง โดยมีโลกออนไลน์เป็นหนึ่งในหมากให้คนที่เคยโดนสบประมาทได้โชว์ของและแสดงฝีมือ.....

ด้อมเด็กสมบูรณ์...ด้อมนี้มีแต่คนรุ่น(คิด)ใหม่

     ปกติเวลาที่พูดถึงแฟนด้อม (Fandom) ภาพของกลุ่มแฟนคลับศิลปินดาราก็จะเด้งขึ้นมาทันที แต่ใครจะไปรู้ว่า ทายาทเจน 3 ผู้นี้ก็หยิบเรื่องนี้มาใช้เหมือนกัน เพียงแต่เป็นการสร้างด้อมเด็กสมบูรณ์ ที่เป็นการรวมพลพนักงานรุ่นใหม่ของบริษัท เพื่อมาทำคอนเทนต์ออนไลน์สนุกๆ ด้วยกัน

     “ตอนแรกที่มีการสร้างทีม เราทำเป็นด้อมขึ้นมา มีชื่อว่าด้อมเด็กสมบูรณ์ ซึ่งตอนที่ผมเริ่มเข้ามาทำงานที่บ้านและได้มีโอกาส Recruit ทีมงานใหม่ๆ ที่เป็นคนเจนใหม่ๆ ผมจะชอบถามเขาว่ารู้จักเด็กสมบูรณ์ได้ยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านใช้ ซึ่งนี่คือ Message ที่ได้ยินมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ โดยไม่มี Message อะไรใหม่ๆ ออกมาเลย”

     และ Message ที่ซ้ำเดิมแบบนี้ก็ได้จุดประกายให้ วสุพล มองหาช่องทางใหม่ๆ ที่จะใช้สื่อสารหรือพูดคุยกับผู้บริโภคได้ด้วยตัวเอง โดย TikTok ได้กลายเป็นกำลังหลักในเรื่องนี้

     “นอกจากจะเป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้เยอะแล้ว ตอนนั้นเรายังมองว่าตัว Short Video คือโลกของคอนเทนต์ในอนาคต ที่ต่อไปองค์ประกอบของคอนเทนต์จะไม่ใช่ภาพที่อยู่นิ่งๆ อีกแล้ว นอกจากนี้ เรายังมองเห็นความพยายามของทาง TikTok ในการเข้าไปเจาะในแต่ละตลาด เราจึงมองว่า TikTok นี่แหละที่จะเป็นช่องทางที่เราจะไปและช่วยให้สามารถสื่อสารไปในคนหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว”

     และต้องบอกเลยว่า หมัดนี้เข้าเป้าแบบเป๊ะๆ เพราะคลิปแรกที่ทำออกมานั้นมียอดคนดูทะลุ 7 ล้านวิวเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่มี Follower ติดตามช่องเป็นศูนย์

เราคือแบรนด์...เราคือพรีเซ็นเตอร์

     แม้ตอนแรกคอนเทนต์ที่ทำจะมาจากการร่วมมือกับทีมงานที่ วสุพล ปั้นขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและมีการออกจากทีมอยู่เรื่อยๆ การมองหาว่า “พนักงานคนไหนที่เราปั้นแล้วจะไม่มีวันลาออกจากบริษัท” จึงเกิดขึ้น

     “มองไปมองมา มองกระจกก็เจอหน้าตัวเอง จึงได้คำตอบแล้วว่า พนักงานคนนี้แหละที่จะไม่มีวันได้ออกจากบริษัทพร้อมความคิดที่ว่า เมื่อเราปั้นให้คนอื่นดังได้ ทำไมเราถึงไม่หันมาปั้นตัวเองบ้างล่ะ”

     โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้บริหารรุ่นใหม่ผู้นี้เชื่อว่า ลำพังแบรนด์อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ จึงต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นแบรนด์ไปด้วยให้ได้      

     “จริงๆ แล้วหลายโปรดักต์ที่คนเขาซื้อ ไม่ได้ซื้อเพราะว่าโลโก้แบรนด์ของเรา แต่เขาซื้อเพราะว่าจำคนได้ ดังนั้น มันก็เหมือนกับการใช้พรีเซ็นเตอร์ ที่แม้ว่าแบรนด์นั้นๆ จะเป็นที่รู้จักอยู่แล้วก็ยังเอาพรีเซ็นเตอร์เข้ามาช่วย เพราะฉะนั้น ตัวเรานั้นก็คือพรีเซ็นเตอร์ของบริษัท และคือพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์เรา”

Data ต้องมี...คาแรกเตอร์ต้องมา หนุนคอนเทนต์ให้ดังสนั่น  

     อย่างไรก็ตาม การจะทำคอนเทนต์ให้มียอดวิวเป็นหลักล้าน นอกจากจะต้องดูเรื่องของเทรนด์ ณ ช่วงเวลานั้นว่า มีอะไรที่จะส่งเสริมต่อสินค้าของธุรกิจเราได้บ้างแล้ว ยังต้องอาศัยการใช้ข้อมูล และวิเคราะห์ Data เพื่อสร้างคาแรกเตอร์บนโลกออนไลน์ด้วย

     “ก่อนที่จะคิดว่าเราจะทำคอนเทนต์ออกมาในสไตล์ไหน ควรเก็บสถิติและดูข้อมูลหรือ Data หลังบ้านของแพลตฟอร์มที่ใช้ เช่น ระยะเวลาการรับชมโดยเฉลี่ย ยอด Like ยอด Reach ว่าเป็นยังไงเสียก่อน นั่นเพราะทุกความสำเร็จนั้นมันขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพราะฉะนั้น เรื่องของข้อมูล หรือการทำ Data Analysis และ Data Marketing จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ”

     นอกจากนี้ ยังต้องกำหนดคาแรกเตอร์ของตัวเองในช่องก่อนว่า เวลาที่เราจะออกไปสู่สายตาผู้คน เราจะเป็นคาแรกเตอร์แบบไหน

     “เหมือนกับการทำหนังเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการวางคาแรกเตอร์ให้กับตัวละคร ผมก็มีการกำหนดคาแรกเตอร์ของตัวเองในช่องให้เป็นคนสนุกสนาน พูดไปเรื่อยเหมือนกัน ซึ่งพอรู้ว่าคนดูเขาชอบแบบนี้ จึงนำไปแมตช์กับโปรดักต์ โดยสิ่งที่เราพยายามทำคือ ทำให้คนรู้ว่าโปรดักต์ของที่บ้าน ไม่ได้มีแค่ซีอิ๊ว รวมถึง Educate คนให้รู้ว่าสินค้าของเราไม่ได้ใช้ได้แค่กับสินค้าแบบผัดเพียงอย่างเดียว แต่ใช้กับเมนูอย่างอื่นได้ด้วย บางทีเราจึงทำคอนเทนต์ที่เอาเมนูแปลกๆ มาแมตช์ด้วย”

     ที่สำคัญ การที่จะหาคาแรกเตอร์ของตัวเองให้เจอนั้น ต้องมีเอกลักษณ์และความแตกต่างในลายเส้นของคลิปวิดีโอที่ทำ ซึ่งต้องหาสไตล์ที่เหมาะสมกับตัวธุรกิจ และเป็นสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ นั่นเพราะ “การมีลายเส้นของตัวเองจะทำให้เราเป็นที่จดจำได้ดี” นั่นเอง

รู้ทันโลกธุรกิจ...ไม่จบ ไม่เจ๊งที่รุ่นเรา  

     แม้ว่าการทำคอนเทนต์จะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ วสุพล ชี้ว่า ธุรกิจต้องรู้จักกำหนดขนาดของแต่ละโปรเจกต์ที่ทำ เพื่อขับเคลื่อนให้ทั้งแบรนด์สามารถเดินหน้าต่อไปได้และเป็นที่รู้จักมากขึ้น

     “คอนเทนต์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการที่จะขับเคลื่อนให้ได้ทั้งแบรนด์ขนาดนั้น จึงต้องหาทางอื่นๆ ที่จะสร้างดีมานด์ สร้างการขับเคลื่อน และสร้าง Awareness ให้คนรู้จักเราได้หลายๆ ทาง เช่น ไปทำโปรเจกต์ Collab กับสินค้าอื่นไหม มีแคมเปญอื่นๆ หรือเปล่า หรือมีอีเวนท์ไหม รวมถึงการใช้สื่อต่างๆ ติดตามชั้นวางสินค้า เป็นต้น”

     ผู้นำรุ่นใหม่คนนี้ยังเสริมอีกว่า “เราควรที่จะสเกลโปรเจกต์แต่ละอัน เพื่อให้เห็นภาพว่าอันไหนมีความสำคัญแค่ไหน อย่างของเราที่จะวางโปรเจกต์แต่ละไซส์เป็น XL, L, M และ S โดยคอนเทนต์นั้นคือไซส์ M ดังนั้น จึงต้องมีการทำเมกะโปรเจกต์ด้วย นอกเหนือจากการทำคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว”

      อย่างไรก็ตาม การที่คอนเทนต์เป็นที่นิยมนั้น นอกจากจะช่วยเรื่องชื่อเสียงและยอดขายแล้ว ยังทำให้มองเห็นว่า มีจุดไหนที่ธุรกิจต้องปรับและพัฒนาอีกบ้าง

     “ตอนที่คลิปเราบูมมากๆ ส่งผลให้ช่วงแรกๆ เรายังปรับตัวเรื่องของการขนส่งไม่ทัน และพอยิ่งสเกลเริ่มใหญ่มากขึ้น เราก็มีปัญหาเรื่องของการแพ็กสินค้าต่างๆ ซึ่งเราก็ได้เรียนรู้จากจุดนี้และมีการพัฒนาด้าน Operation ในการแพ็กสินค้าไม่ให้แตกหักเสียหายด้วย”

     ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าคอนเทนต์จะไม่ใช่ทั้งหมดของแบรนด์ และแบรนด์ไม่จำเป็นต้องพึ่งคอนเทนต์เพียงอย่างเดียว วสุพล ฝากไว้ว่า อยากให้ทำคอนเทนต์กันอย่างมีความสุข อย่ากดดันตัวเอง เพราะพอเราขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง มันจะมีคอมเมนท์ทั้งที่ชอบเราและไม่ชอบเราอยู่ดี

     “ผมจะไม่เอาการทำคอนเทนต์มากวนเวลาทำงาน โดยจะพยายามถ่ายเดือนหนึ่งประมาณ 2 ครั้ง แต่ถ่ายทั้งวัน เช่น ถ่ายวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า – 6 โมงเย็นรวดเดียว แล้วตุนคลิปไว้เป็นสต็อกและค่อยทยอยโพสต์ลงในช่อง”

     เห็นแบบนี้ หลายคนคงมีคำถามว่า ถ่ายวันหยุดแบบนี้ก็ไม่ได้พักผ่อนเลยสิ? นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงคนนี้ตอบไว้ว่า

     “ถึงแม้ว่าผมจะต้องทำงานวันเสาร์-อาทิตย์บ้าง แต่สิ่งที่ผมทำอยู่นั้น เขาเรียกว่า Work-life Integration หรือการผสมผสานงานกับการใช้ชีวิตเข้าด้วยกัน ซึ่งในทุกๆ วันที่เราทำสิ่งนี้ เรามีความสุข ไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยและไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระของเรา”

“ชีวิตของผมตอนนี้ยังเพิ่งอยู่ในจุดเริ่มต้น

และยังมีเส้นทางอีกยาวไกล

ผมจึงพยายามจะทำให้ชีวิตของผม Success ให้ได้เร็วที่สุด”

     ที่มา: งานสัมมนา Digital SME Conference Thailand 2025     

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

“เบบี้แอนด์มัม”  จาก pain point คนมีลูกยาก  สู่แบรนด์ที่ทำรายได้กว่า 783 ล้านบาท

จากความเจ็บปวดสู่ธุรกิจพันล้าน เมื่อผู้ก่อตั้งเผชิญภาวะมีบุตรยากด้วยตัวเอง กลับพลิก Pain Point ให้เป็นโอกาสด้วย กลยุทธ์ Education-driven จนสร้างรายได้กว่า 783 ล้านบาท นี่คือเรื่องราวของ “เบบี้แอนด์มัม”

ล้งเล้งลูกชิ้นปลา ตำนาน 41 ปีธุรกิจครอบครัวย่านบรรทัดทอง ที่ฝ่าฟันวิกฤตสู่ยอดขายพุ่ง 40%

ถอดรหัสความยั่งยืน 4 ทศวรรษ: ล้งเล้งลูกชิ้นปลา ธุรกิจเก่าแก่ทำอย่างไรถึงอยู่รอด? เมื่อธุรกิจต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงท้ายทายรอบด้าน พร้อมปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย