​เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ ยั่งยืนแบบครบวงจรด้วย Zero waste

Text : กองบรรณาธิการ





     เริ่มต้นด้วยฟาร์มเลี้ยงหมูและโรงงานอาหารสัตว์ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 กับบริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด จนในตอนนี้ เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ ได้เติบโตขึ้นกลายเป็น ผู้ผลิตเนื้อสัตว์และอาหารสัตว์รายใหญ่ระดับประเทศ ด้วยแนวคิดอันชาญฉลาดของผู้บริหารอย่าง สมชาย นิติกาญจนา ที่ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดการองค์กรเพื่อสร้างรากฐานให้องค์กรมีความแข็งแรงอย่างยั่งยืนด้วยการเน้นบริหารจัดการบุคลากรภายในองค์กรรวมทั้งนำแนวคิดจัดการของเสียแบบ Zero Waste คือใช้ประโยชน์จากของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
               

     จากการเปิดเผยของ สมชาย ผู้ก่อตั้ง เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ ได้พูดถึงแนวคิดในช่วงที่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาว่าต้องการที่จะทำให้บริษัทของเขามีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
               

     “ในช่วงที่ผมเริ่มทำบริษัท ตอนนั้นผมก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้องค์มีความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ถ้าเกิดว่าธุรกิจสร้างปัญหาให้กับชุมชนแล้วคนรอบข้างจะยั่งยืนได้อย่างไร นอกจากนี้ยังต้องทำให้แตกต่างกับคนอื่น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีและการวิจัยมาใช้ในการทำธุรกิจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะสู้คนอื่นไม่ได้ เรายังมีการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยรางวัลต่างๆ ที่เราได้รับ มีการรับรองมาตรฐานของโรงงาน GMP/HACCP มี ISO 9001 ตอนนั้นผมไม่มีเงินเลย แต่พอเรามีรางวัล ไปคุยกับธนาคารหรือขายของให้กับลูกค้า เราก็มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น รางวัลต่างๆ ที่เราได้รับมันเป็นเครื่องการันตีว่าบริษัทเรามีคุณภาพ”
               

     อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญที่ทำให้ เอส พี เอ็ม เป็นองค์กรต้นแบบของความพอเพียงนั่นคือระบบการจัดแบบ Zero waste ที่เปลี่ยนของเสียในโรงงานให้นำกลับมาทำประโยชน์ในกระบวนการผลิตไปจนถึงการสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนโดยรอบ เพราะในโรงงานจะมีของเสียจากการเลี้ยงสุกรและการผลิตอาหารสัตว์ เอส พี เอ็มจึงมีการนำของเสียมาหมักให้กลายเป็นระบบการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพและมีการทำระบบท่อส่งน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วไปให้ชุมชนที่ทำฟาร์ม ทำสวน ทำไร่ ให้พวกเขานำไปทำเป็นปุ๋ยอีกด้วย  
               

     “แนวทางการทำธุรกิจของเราคือเราอยากจะทำให้ของเสียในโรงงานกลับมาใช้งานได้ใหม่อีกครั้ง อย่างเราทำธุรกิจฟาร์มปศุสัตว์ การเลี้ยงหมู ซึ่งจะมีปัญหาตามมาคือกลิ่นเหม็น มีแมลงวัน มีของเสีย มีน้ำเสีย เราก็คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ เราเลยนำของเสียมาหมักเป็นแก๊ส เอาน้ำเสียไปปลูกกล้วย ปลูกอ้อย ปลูกปาล์มน้ำมัน จากนั้นก็นำไปผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ นำน้ำร้อนที่ได้จากเครื่องยนต์ไปกกลูกหมูแทนการใช้ไฟฟ้า นำของเสียที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สิ่งที่ได้คือเราลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลง ไม่ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีกด้วย ทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนเพราะมีต้นทุนที่ต่ำลง อยู่ได้ด้วยตนเอง มีกระบวนการผลิตที่พึ่งตนเองตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ”
               

     นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิต นำเทคโนโลยีและการวิจัยมาใช้จนทำให้เอส พี เอ็ม มีความเข้มแข็งตั้งแต่รากฐาน อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือบุคลากรในองค์กรที่สมชายพยายามทำให้พนักงานมีความสุขเหมือนที่ทำงานคือบ้านของทุกคน
               

     “เราให้ความสำคัญกับพนักงาน ให้พนักงานในองค์กรคิดว่าที่นี่คือบ้านของคุณ เราอยากให้พนักงานได้สิ่งที่ดีที่สุด เติบโตไปด้วยกัน ทำอย่างไรที่จะโตไปด้วยกัน ถ้าเรานอนห้องแอร์ พนักงานก็ต้องนอนห้องแอร์ ถ้าบริษัทโตขึ้น เขาก็ต้องโตขึ้นไปด้วย พนักงานจะต้องอยู่ดีกินดี มีสวัสดิการต่างๆ ดูแลพนักงานเพื่อให้พนักงานสามารถดูแลตนเองและนำไปดูแลครอบครัวได้” สมชายกล่าวทิ้งท้าย
               




ที่มา : งานสัมมนาธุรกิจยั่งยืนด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ละเลียดวิธีคิด สุรชัย พุฒิกุลางกูร Illustrator ไทย ผู้ยืนหนึ่งเวทีโลก

ละเลียดวิธีคิดของ สุรชัย พุฒิกุลางกูร Illustrator อันดับหนึ่งของโลก CEO แห่ง Illusion CGI Studio ที่พาสตูดิโอขึ้นแท่นเป็น No.1 ของโลกติดต่อกันถึง 11 ปี เขามีวิธีคิดและกลยุทธ์อย่างไร ถึงพาธุรกิจไปได้ไกลขนาดนี้

Top Table บาร์ปิงปอง มิติใหม่การแฮงค์เอาท์ เมื่อโค้ชกีฬาผันตัวมาทำธุรกิจ ฮอต! จนคืนทุนได้ใน 2 เดือน

จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถดื่มแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ขณะเดียวกันก็ได้ออกกำลังกาย มีเกมสนุกๆ ให้เล่นได้ด้วย “Top Table” บาร์ปิงปองแห่งแรกของสิงคโปร์ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา การดื่ม และพบปะสังสรรค์ได้อย่างลงตัว

BaanRung จากโรงเก็บของสู่คาเฟ่ตัวท็อป สูตรลับธุรกิจที่เริ่มได้แม้ไม่มีทุนมหาศาล

หลายธุรกิจไม่ได้เริ่มต้นจากทุนมหาศาลหรือทำเลทอง แต่เริ่มจาก พื้นที่เล็กๆ หน้าบ้าน ดังเช่น “บ้านรุ่ง” ที่เปลี่ยนพื้นที่เล็กๆหน้าบ้านที่ถูกมองข้ามให้กลายเป็นคาเฟ่ที่มีกลิ่นอายของความโฮมมี่