​สิ่งต้องรู้…เมื่อไขมันทรานส์กลายเป็นของต้องห้าม! ในธุรกิจอาหาร





 
               
     หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศมาตรการ “REPLACE” เป็นแนวทางให้ประเทศต่างๆ นำไปปฏิบัติโดยตั้งเป้าปี 2023 หรืออีก 5 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกจะปลอดจากกรดไขมันทรานส์ เนื่องจากมีหลักฐานชี้ชัดว่าน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils) หรือที่เรียกกรดไขมันทรานส์นั้น เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ผลคือมีประเทศต่างๆ ราว 45 ชาติที่ขานรับ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น การประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเรื่องห้ามผลิต จำหน่าย และนำเข้ากรดไขมันทรานส์ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร
               

     ความจริงการต่อต้านการใช้กรดไขมันทรานส์นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว และสวีเดนเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายควบคุมปริมาณกรดไขมันทรานส์ในอาหาร จากนั้นหลายประเทศในยุโรปได้ดำเนินรอยตาม ขณะที่สหรัฐฯ เองเริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังในปี 2015 และให้เวลาบริษัทผู้ผลิตอาหารในการปรับตัว 3 ปีซึ่งปี 2018 นี้เป็นปีที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าจะให้กรดไขมันทรานส์หมดไปจากวงจรการผลิตอาหาร ส่วนไทย การประกาศของกระทรวงสาธารณสุขย่อมกระทบต่อผู้ผลิตในวงการอาหารทุกระดับ แต่ที่ผ่านมาพบว่าหลายบริษัทเริ่มปรับตัวไปล่วงหน้าแล้ว เช่น การปรับสูตรขนมอบ หรือการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตเนยขาว เพื่อให้กลายเป็นกรดไขมันทรานส์น้อยที่สุด เป็นต้น
               

     ตัวอย่างของอาหารบางชนิดที่จะไม่เหมือนเดิม เมื่อกรดไขมันทรานส์กลายเป็นของต้องห้าม เช่น

     
     โดนัท -หากไม่ใช้ไขมันทรานส์ โดนัทที่ได้อาจอมน้ำมัน และหืนเร็ว

     
     คุกกี้ เค้กและขนมอบอื่นๆ -การใช้ไขมันทรานส์มีผลต่อเนื้อสัมผัส (texture) และอายุของผลิตภัณฑ์  

     
     แครกเกอร์- ในการผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทนี้อาจต้องเปลี่ยนไปใช้น้ำมันอื่น เช่น น้ำมันถั่วเหลืองหรือน้ำมันคาโนล่า

   
     ป๊อบคอร์น- รวมถึงป๊อปคอร์นกึ่งสำเร็จที่ใช้ไมโครเวฟ ผู้ผลิตอาจต้องเปลี่ยนจากเนยเทียม/มาการีนมาเป็นเนยสดแท้

     
      พิซซ่าแช่แข็งและอาหารแช่แข็งอื่นๆ - โดยมากมีส่วนผสมของไขมันทรานส์ เพื่อให้ shelf life หรืออายุการเก็บรักษายางนานขึ้น การใช้อย่างอื่นทดแทน อาจทำให้ผู้ผลิตต้องเพิ่มสารกันบูดเพื่อให้อาหารเก็บได้นานขึ้น


     ครีมเทียม –สามารถแทนด้วยน้ำมันถั่วเหลือง หรือทำให้เครื่องดื่มเข้มข้นขึ้นด้วยผงอัลมอนด์ ผงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ป่นละเอียด
   

      
     
     อย่างไรก็ดี สำหรับผู้บริโภค แม้จะมีการห้ามใช้กรดไขมันทรานส์ แต่สิ่งที่ควรทราบก็คือ


     1. ไม่ว่าอย่างไร กรดไขมันทรานส์จะไม่หายไปจากอาหารแปรรูป ยากที่จะเรียกได้ว่าปลอดไขมันทรานส์อย่างหมดจดเพราะกรดไขมันทรานส์นี้ไม่เพียงมาจากการสังเคราะห์ หากยังสามารถเกิดขึ้นได้ธรรมชาติ โดยพบในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม แม้จะมีปริมาณน้อยนิดก็ตาม


     2. การที่ฉลากระบุ “กรดไขมันทรานส์ 0%” ไม่ได้หมายความว่าอาหารนั้นๆ ไม่มีกรดไขมันทรานส์เลยสักนิด เพราะหลายประเทศมักออกกฎ เช่น หากอาหารนั้นมีไขมันทรานส์ไม่เกิน 2% หรือไม่เกินกี่กรัมของปริมาณที่กำหนดก็ถือว่าปลอดไขมันทรานส์ ดังนั้น การระบุบนฉลากว่า “ไม่มีไขมันทรานส์” จึงอาจเป็นกับดักที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้


     3. น้ำมันทางเลือกที่นำมาใช้แทนกรดไขมันทรานส์ แม้จะมาจากธรรมชาติ แต่ก็ก่อปัญหาได้เช่นกัน เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวที่เป็นกรดไขมันอิ่มตัว หรือน้ำมันอื่นๆ อาทิ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนล่าก็ทำให้อาหารหืนเร็ว ที่สำคัญน้ำมันก็คือน้ำมันหากบริโภคไม่บันยะบันยังก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน


     4. การขจัดไขมันทรานส์จากอาหารไม่อาจการันตีถึงการมีสุขภาพดีตราบใดที่ผู้บริโภคยังใช้ชีวิตบนพื้นฐานของพฤติกรรมเสี่ยง เป็นต้นว่า กินแบบไม่สมดุล กินมากเกินไป ไม่ออกกำลังกาย ดื่มหนัก สูบหนัก เป็นต้น กรดไขมันทรานส์อาจเป็นปัจจัยหนึ่งเท่านั้น การส่งเสริมสุขภาพแข็งแรงจึงควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย  
               
 

ที่มา
http://healthland.time.com/2013/11/07/7-foods-that-wont-be-the-same-if-trans-fats-are-banned/
https://civileats.com/2015/06/19/4-things-you-should-know-about-fdas-ban-on-trans-fats/



www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

จากธุรกิจน้ำผึ้งของครอบครัว สู่ Gisou แบรนด์ Hair Care สุดพรีเมี่ยม ที่ใช้กลยุทธ์ Storytelling จนเป็นไวรัลในโลกออนไลน์

Gisou แบรนด์ Hair Care ที่เกิดจากการนำ “น้ำผึ้ง” วัตถุดิบธรรมชาติจากสวนผึ้งของครอบครัว มาสร้างมูลค่าใหม่ในรูปแบบความงามระดับพรีเมียม ด้วยการเล่าเรื่องและความใส่ใจในรายละเอียด

The Rubik Theory ทฤษฎีบิดลูกบาศก์ธุรกิจให้ลงตัว ฉบับ After Yum  

“The Rubik Theory” ทฤษฎีบิดลูกบาศก์ธุรกิจให้ลงตัว คือกลยุทธ์ที่ After Yum นำมาใช้ การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ การคิดแบบหลายมิติ รวมถึงการฝึกความอดทนและทดลองทำสิ่งใหม่ๆ จนวันนี้ไม่มีใคร ไม่รู้จักแบรนด์ที่คงความแซ่บได้แบบยืนหนึ่งแบรนด์นี้

บุญช่วยมัทฉะ คาเฟ่ในร้านขายของชำ คอนเซปต์สุดแปลก ที่เปลี่ยนจุดด้อย ให้กลายเป็นเสน่ห์

ตามไปดู "บุญช่วยมัทฉะ" คาเฟ่มัทฉะลับๆ ที่กำลังถูกพูดถึงใน TikTok เพราะไอเดียสุดแปลกเสิร์ฟมัทฉะคุณภาพระดับพรีเมียมจากครัวหลังร้านของชำของแม่ชื่อว่า “บุญช่วยพานิช” จนกลายเป็นเสน่ห์ กิมมิก ที่ทำให้ใครๆ ก็จดจำได้