“นิรันดร์ พวงหรีดรักษ์โลก” พลิกขาลง “ธุรกิจโรงทอผ้า” สู่แบรนด์น้องใหม่สุดเจิดจ้า เพิ่มมูลค่าได้แบบยั่งยืน

Text: VaViz

Photo: NIRAN


     เมื่อธุรกิจโรงงานทอผ้าดิบที่ดำเนินการมาราว 30 ปี ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ของการเป็น “ธุรกิจขาลง” หรือ “Sunset Industry” ไม่ว่าจะเพราะด้วยปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก กำลังซื้อลงลด หรือการแย่งชิงตีตลาดและห้ำหั่นราคาของคู่แข่งจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน อินเดีย และเวียดนาม ที่สะเทือนการส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจที่กินสัดส่วนอยู่ถึง 70% ก็ตามที ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ อรนภัส บุญอนันตพัฒน์ ทายาทรุ่นที่ 2 แห่งบริษัท บุญเจริญการทอ จำกัด ต้องการสร้างจุดเปลี่ยน หาจุดบอด และอุดช่องว่างในตลาด เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง  

      “จะทำอย่างไรให้โรงงานทอผ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจ Sunset ซึ่งเติบโตได้ค่อนข้างยากในบ้านเรา มีโอกาสกลับสู่แสงหรือเป็น Sunrise Biz ได้อีกครั้ง คือโจทย์ที่เราต้องคิด เพราะในหลายธุรกิจผ้าตอนนี้ไม่โดนเพื่อนบ้านตีตลาด ก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้าง Red Ocean”

COVID-19 พลิกแสงริบหรี่ สู่แสงแห่งธุรกิจใหม่  

“การบริจาคผ้าห่อศพเป็นอะไรที่คนมองข้ามได้ง่าย

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นช่วง COVID-19 หรือไม่ก็ตาม

ความขาดแคลนตรงนี้ยังมีอยู่เสมอ”

     แม้ทางโรงทอผ้าจะมีการปรับตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว เช่น มีการพัฒนาเทคนิคพิเศษในการทอผ้ามากขึ้น เช่น เคลือบกันน้ำ เคลือบกันแบคทีเรีย เคลือบกันเชื้อรา เคลือบกันยูวี หรือเสริมคุณสมบัติกันไฟเข้าไปในเนื้อผ้า เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์อุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การเกษตรและการแพทย์ รวมถึงมีบริการรับแก้ไขปัญหาผ้า เช่น เสริมเนื้อผ้าที่ลูกค้าซื้อของจีนที่บางให้แข็งหรือหนาขึ้น แต่ทว่าการเติบโตยังไม่เข้าตาผู้เข้ามารับไม้ต่อรายนี้มากนัก จึงเป็นที่มาของการต่อยอดนำผ้าดิบของโรงงานมาจับจีบจัดทรงเป็น “พวงหรีดผ้าดิบ” ที่ใช้แล้วไม่ต้องทิ้งให้สูญเปล่าเป็นขยะ แต่สามารถบริจาคมอบต่อให้วัด โรงพยาบาล หรือมูลนิธิต่างๆ นำไปใช้ห่อศพได้

     “COVID-19 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของทั้งโรงทอผ้าและการเกิดแบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า “นิรันดร์ พวงหรีดรักษ์โลก” ที่มาจากการเห็นว่า เป็นช่วงที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและผ้าห่อศพและถุงห่อศพขาดแคลน จึงจุดประกายเราว่า ผ้าที่ทางกู้ภัยใช้ห่อร่างนั้น เป็นผ้าดิบที่เราทำได้ ตอนแรกเลยสร้างเพจที่ชื่อว่าห่มบุญขึ้นมาก่อน เพื่อขายและเป็นสะพานบุญในการนำผ้าห่อศพและถุงใส่ศพไปบริจาคให้กู้ภัยในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย”

     และด้วยเสียงตอบรับที่ดี เนื่องจากคนเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่สามารถทำบุญได้แค่กดสั่งของบริจาคจากที่บ้าน โดยไม่ต้องออกไปไหน อรนภัส จึงเห็นว่า ตลาดนี้เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการที่จะเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่น จึงขยับสู่การสร้างแบรนด์ในเวลาต่อมา ซึ่งมีอายุได้เกือบ 2 ปีในปัจจุบัน

สังเคราะห์แสง สร้างแบรนด์ให้แตกต่าง  

“การที่เรามีคลังข้อมูลในหัวเยอะ เวลาที่มันถึงเวลา มันจะจับแพะชนแกะในหัวเราได้

ไอเดียบางอย่างไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องมาจากธุรกิจที่เราทำอยู่

เราจึงควรเล็งเห็นถึงคุณค่าของการมีความรู้ทั่วไปในหลายๆ ธุรกิจ

เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า ข้อมูลแต่ละอย่างที่เราได้มา จะกลายมาเป็นประโยชน์ของเราวันไหน”

     เพราะอยากทำให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้งานได้นานขึ้น และมีประโยชน์มากที่สุด ก่อนที่จะนำไปเผา ผู้ก่อตั้งแบรนด์คนนี้ จึงคิดต่อว่า จะยืดวงจรชีวิตของผ้าห่อศพอย่างไรให้ไม่สั้นแค่ว่า ทอเป็นผ้าดิบออกมา ใช้ห่อร่างเสร็จแล้วจบ

     “แม้ว่าผ้าดิบจะมีความแข็งกว่าผ้าปกติที่ใช้ทำเสื้อผ้า แต่เราสามารถนำเทคนิคในการจับจีบผ้ามาประยุกต์ใช้ได้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการดูพวก Fabric Origami เช่น ของทางโรงแรมที่จะเอาผ้าขนหนูมาพับเป็นรูปร่างต่างๆ บวกกับการรณรงค์ไม่ใช้พวงหรีดดั้งเดิมที่เป็นดอกไม้ เพราะว่าเป็นขยะและเป็นภาระให้วัด ดังนั้น พวงหรีดของเราที่นอกจากจะออกแบบให้สวยงามพอๆ กับดอกไม้แล้ว ยังทำแค่ดึงหมุดที่กลัดออกก็สามารถนำไปบริจาคต่อหรือใช้งานได้เลย”

     นอกจากนี้ การรู้ถึง Feedback ลูกค้าที่ชอบบริจาคและเห็นผลแบบจับต้องได้ ช่วยสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ฉีกตัวจากแบรนด์พวงหรีดอื่นๆ ที่มีคอนเซ็ปต์ด้านการทำบุญเหมือนกัน  

     “สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ คือ การบริจาคอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าเป็นไปได้เราเลือกที่จะบริจาคแบบไม่เป็นจำนวนเงิน แต่บริจาคเป็นสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่นับเป็นชิ้นๆ ได้เลยแทน เพื่อให้ผู้รับบริจาคไม่สามารถนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ และรู้สึกได้จริงๆ ว่า ของเหล่านั้นสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที ซึ่งแบรนด์ของเราจะระบุเลยว่า พวงหรีดราคานี้มีผ้าห่อศพกี่ผืนให้ลูกค้าเห็นเป็นรูปธรรมได้ว่า สามารถเอาไปช่วยได้กี่ศพ กี่ราย”

      โดยความยากในการที่จะพลิกธุรกิจขาลงให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมานั้น อรนภัส บอกว่าอยู่ที่การต้องคิดนอกกรอบ ซึ่งถือว่ายากมากๆ สำหรับคนที่คลุกคลีกับธุรกิจโรงทอผ้านี้มาตั้งแต่เล็กจนโต ไปจนถึงการพูดคุยกับรุ่นบุกเบิกรวมถึงพนักงานให้เปิดใจและพร้อมเดินไปกับโปรเจกต์ใหม่ครั้งนี้

      “ด้วยความที่เราวนเวียนกับโรงทอผ้ามาตั้งแต่เด็ก ทำให้กลายเป็นความเคยชิน ที่เรานึกออกไปจากกรอบไม่ได้ว่า เราทำอะไรมากกว่านั้นได้ เพราะถ้าย้อนกลับไป เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำธุรกิจพวงหรีด ซึ่งดูไม่เกี่ยวกันเลยโดยสิ้นเชิง และยิ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากๆ การทำให้คุณพ่อคุณแม่และคนในบริษัทซื้อไอเดียนี้ได้ ต้องอาศัยการอธิบาย การโน้มน้าว การให้ข้อมูลด้านตัวเลขและสถิติ และการศึกษาถึงโอกาสและความเป็นไปได้อย่างจริงจัง รวมถึงมีแผนการทำงาน การลงทุน และงบประมาณที่ชัดเจน”

“ความภาคภูมิใจ” แสงอันยิ่งใหญ่ที่พนักงานต้องการ

“คนกลุ่มนี้ทำให้เราเปลี่ยนมุมมองไปเลยว่า

การที่เราทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจและได้เห็นถึงความสำเร็จของสิ่งที่เขาทำ

เขาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ แม้ที่อื่นจะให้รายได้สูงกว่าก็ตาม”

     การมี “Sense of Ownership” หรือความรู้สึกเป็นเจ้าของในตัวพนักงานได้เปลี่ยนมุมมองของ อรนภัส ไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยรับรู้มาว่า ยิ่งเป็นธุรกิจ Sunset คนยิ่งอยากลาออก แต่ปรากฏว่า เมื่อพวกเขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากแค่ไหน จนเกิดเป็นความภาคภูมิใจก็ยิ่งอยากอยู่ต่อไปกับองค์กร

     “พอเราเห็น Feedback ดีๆ เราก็อยากจะเอามาให้เขาดู เพราะเขาเป็นคนหนึ่งในกระบวนการ ถ้าเราไม่มีเขา แบรนด์ก็ไม่สำเร็จมาจนทุกวันนี้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขามี Sense of Ownership เขาเป็นหนึ่งในความสำเร็จ เราแค่แชร์ให้เขารู้ว่า ในสิ่งที่เขาทำมันมี Impact อะไร แค่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขาอยากจะมีส่วนร่วม รู้สึกว่าการกระทำทุกๆ อย่างของเขามันมี Impact จริงๆ”

     จากวันที่พนักงานมีแต่ความเศร้าสร้อยที่ได้เห็นโรงงานทอผ้าอื่นๆ ทยอยปิดตัวไป และทำงานเดิมๆ กันไปเรื่อยๆ แต่เมื่อได้เห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้นมีคุณค่าอย่างไร สังคมหรือโซเชียลมีเดียมีการรับรู้มากแค่ไหน บรรยากาศในการทำงานก็เปลี่ยนไปและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น  

     “ทุกวันนี้เขามีกำลังใจและมีไอเดียมานำเสนอเรามากขึ้นโดยที่เราไม่ต้องบอก เช่น ลองทำแบบนี้ไหม ลองใช้วัสดุนี้ไหม เพื่อลดต้นทุนของพวงหรีด จากเดิมที่เราต้องเป็นคนบอก ยิ่งในโรงทอผ้าที่ผ่านมาเรื่องนี้เกิดขึ้นน้อยมาก ที่อยู่ดีๆ จะมีพนักงานมานำเสนอว่าจะช่วยเราอย่างไรบ้าง หรือมีความคิดที่จะพัฒนาและลองทำอะไร แต่พอมีธุรกิจใหม่ที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้างก็สามารถสร้างความภาคภูมิใจ ความครื้นเครง และความแตกต่างได้อย่างชัดเจน”

     แม้เจ้าของแบรนด์คนเก่งคนนี้จะบอกว่า “นิรันดร์ พวงหรีดรักษ์โลก” ไม่ใช่แสงที่ใหญ่บิ๊กเบิ้มจนพลิกชีวิตโรงทอผ้าได้แบบสุดๆ แต่ก็ถือว่าเป็นแสงกลางๆ ที่ทำให้คนที่รู้สึกว่าไม่มีทางโตต่อไปแล้วได้เห็นเป็นตัวอย่างว่าเป็นไปได้ และยังเป็นแสงที่คอยสาดส่องให้หัวใจของพนักงานและผู้บริหารในบริษัทมีความกระชุ่มกระชวยและพร้อมที่จะทำงานอย่างภาคภูมิใจในทุกวัน

“ถ้าวันนั้นเราย่อท้อ วันนี้ก็ไม่มีแบรนด์นิรันดร์ออกมาเหมือนกัน

ถ้าวันนั้น เรายอมรับว่าเราแพ้แล้ว มันก็คือแพ้แล้ว

แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องมีความหวัง ถึงแม้หลายคนจะบอกว่า มันคือความหวังลมๆ แล้งๆ

เรากลับมองว่า มันเป็นกำลังใจที่ทำให้เรามีแรงค้นหาต่อไปเรื่อยๆ มากกว่า

นั่นเพราะมันไม่สำคัญเลยว่า เราจะลองผิดลองถูกอีก 10 ครั้ง

แต่ถ้าเป็น 1 ครั้ง ที่มัน Jackpot มันก็เป็น 1 ครั้งนี้แหละที่คนจะจดจำเราตลอดไป”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

นวัตกรรมจาก Rehyphen อัปไซเคิลเทปคาสเซ็ตเก่า ให้เป็นผ้าผืนลายลวดลายเฉพาะตัว

การรีดีไซน์ที่ไม่ธรรมดา เมื่อ Rehyphen เปลี่ยนเทปคาสเซ็ตเก่าให้เป็นเนื้อผ้าล้ำสไตล์ ใส่ได้จริง แถมยังเล่าเรื่องความยั่งยืนได้

สาวผมยาวต้องถูกใจสิ่งนี้! Pony Cap ตัวช่วยสระผมแบบใหม่ ที่ให้คุณสระแค่ครึ่งหัว ก็สะอาด แห้งเร็วขึ้น

รู้จัก “Pony Cap” ถุงครอบป้องกันผมเปียกขึ้นมา เพื่อใช้คลุมส่วนของเส้นผมที่ไม่ต้องการให้เปียก โดยทำมาจากผ้าโพลีเอสเตอร์ ไอเดียธุรกิจที่เกิดจาก Pain Point ของสาวผมยาว

ปั้น Ocare Health Hub ยอมขาดทุน 3 ปีก่อนมีรายได้ 8 หลัก

เจาะลึกบทเรียนจาก พญ.ชุติมา ดุลมณี (หมอออม) CEO Ocare Health Hub ที่กล้าทิ้งความมั่นคงของคลินิกแพทย์ สู่สนามรบ Health Tech ที่ไร้กำไรในช่วง 3 ปีแรก เพื่อหาแนวทางสร้าง System ที่ปลดล็อกอิสรภาพทางธุรกิจทุบกำแพงรายได้เดิม