รู้จัก Latte Factor หัวขโมยเงินออม ที่ซ่อนอยู่ในรายจ่ายเล็กๆ  

Text: VaViz

     เงินเดือนยังไม่พอใช้ นับประสาอะไรกับเงินเก็บ! เชื่อว่าพอพูดถึงเรื่องนี้ หลายคนอาจจะเบ้ปากมองบน พลางคิดในใจว่า มีให้กินไปวันๆ ยังแทบแย่ แล้วจะเอาที่ไหนมาเก็บ มาออม...แต่ก่อนที่จะหัวเสียไปมากกว่านี้ อยากชวนมาลองคิดเล่นๆ ว่า เคยรู้สึกบ้างไหมว่า เราอาจกำลังเล่นซ่อนหากับเงินของเราอยู่โดยไม่รู้ตัว

ทำความรู้จัก “Latte Factor” ลาเต้แก้วนั้นกับเงินออมที่หายไป

     มีคนไม่น้อยที่ต้องตกอยู่ในสภาวะของการชักหน้าไม่ถึงหลัง และหนึ่งในนั้นก็คือหญิงสาวต้นเรื่อง ที่เป็นที่มาของแนวคิดทางการเงินที่ชื่อว่า “Latte Factor” ผู้ที่ไม่ต่างจากเราๆ ที่สงสัยว่า “นี่เงินเดือนหรือเงินทอน น้อยจนเก็บแทบไม่ได้ แล้วจะเอาเงินจากไหนไปออม ไปลงทุน?”

     ซึ่งเธอก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่ได้ไปถามกับ David Bach นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชาวอเมริกันชื่อดัง ซึ่งได้พบว่า กิจวัตรที่หญิงสาวคนนี้ต้องทำทุกวันตอนเช้าก่อนไปทำงานคือ การซื้อ “กาแฟลาเต้” จุดประกายให้เขาเกิดแนวคิด “Latte Factor” หรือทฤษฎีที่ชวนให้ระวังการจ่ายเงินซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เพราะว่าเมื่อนำมารวมกันแล้วก็คือเงินก้อนโตที่หายไปนั่นเอง

     ถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ลองจินตนาการง่ายๆ ว่า ถ้าทุกวันเราต้องกินกาแฟแก้วละ 70 บาท

          - 1 อาทิตย์ คิดเป็นเงิน 490 บาท

          - 1 เดือน คิดเป็นเงิน 2,100 บาท

          - 1 ปี คิดเป็นเงิน 25,550 บาท

     ซึ่งแทนที่จะเสียเงินส่วนนี้ไปกับการจิบกาแฟทุกวัน เราสามารถนำมาเก็บออมหรือนำไปลงทุนให้งอกเงยได้

Latte is a New Currency…ยิ่งดื่มมาก เงินออมยิ่งหาย   

     อย่างไรก็ตาม Latte Factor นั้น ไม่ได้หมายถึงแค่กาแฟลาเต้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจมองข้ามไปหรือใช้ไปโดยไม่รู้ตัว ไปจนถึงการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ เช่น

          - ชา ชานมไข่มุก

          - น้ำอัดลม เบียร์ เหล้า บุหรี่

          - หมูกระทะ อาหารบุฟเฟต์ต่างๆ

          - ล็อตเตอรี่ หวย

          - ค่าบริการสตรีมมิ่งต่างๆ

          - ช้อปปิ้งออนไลน์

          - ค่าไปเที่ยว ดูคอนเสิร์ต และกินอาหารที่แพงเกินจำเป็น ฯลฯ

5 กลยุทธ์อุดแก้วลาเต้รั่ว หยุดเงินออมไหล!  

     ดังนั้น เพื่อไม่ให้การเงินต้องฝืดเคือง ทั้งๆ ที่สามารถประหยัดและไม่ต้องใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นได้ การรู้ว่า Latte Factor ของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราคืออะไร เกิดขึ้นในรายการหรือกิจกรรมไหน และจะจัดการอย่างไรคือสิ่งที่สำคัญ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ 

     1. สำรวจพฤติกรรมการใช้จ่าย อันดับแรก ลองจดบันทึกรายรับรายจ่ายดูว่า มีอะไรที่เราจ่ายไปเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เช่น ค่ากาแฟ ค่าผลไม้ ค่าขนม ค่าแท็กซี่ ค่าเติมเกม หรือค่าบริการสตรีมมิ่งต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เห็นว่าแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละเดือน เราเสียค่าใช้จ่ายไปกับอะไรมากที่สุด และส่วนไหนที่ถือว่าเป็น Latte Factor ที่ต้องจัดการ  

     2. ถามตัวเองทุกครั้งก่อนจ่าย ถัดมาคือ ก่อนที่จะควักกระเป๋าจ่ายทุกครั้ง ลองถามตัวเองว่า “จำเป็นต้องซื้อสิ่งนี้จริงๆ ใช่ไหม” “มีทางเลือกไหนที่ประหยัดกว่านี้บ้างหรือเปล่า” “จะใช้มันบ่อยแค่ไหน” “ใช้ของที่มีอยู่แล้วแทนได้หรือเปล่า” หรือ “รอได้อีกไหม”

     3. ยกเลิก Member ที่ไม่เคยแตะ คัญไม่แพ้กันคือ การเช็กว่าตัวเองเคยสมัครสมาชิกอะไรไปแล้วบ้าง และทำการยกเลิกอันที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้บ่อยๆ เช่น ฟิตเนสที่ไปบ้างไม่ไปบ้าง พิลาทิสที่ไปบ่อยแค่ตอนเห่อๆ หรือแอปพลิเคชันที่โหลดมาแล้วแทบไม่ได้ใช้

     4. Save อะไรได้ Save แน่นอนว่าประหยัดไว้ก่อนนั้นดีต่อสุขภาพการเงิน ดังนั้น อะไรที่เราสามารถจะเซฟเงินได้ก็ทำไว้ก่อน เช่น พกกาแฟหรือชาที่ชงเองจากบ้านหรือน้ำดื่มไปทำงาน ทำอาหารกินเองแทนการสั่งเดลิเวอรี่บ่อยๆ หรือเลือกกินร้านที่ราคาไม่แรง

     5. ตั้งเป้าหมายการออม สุดท้าย หลังจากที่รู้แล้วว่า ค่า Latte Factor ของเราคืออะไร และจะลดค่าใช้จ่ายตัวไหนได้บ้าง อย่าลืมตั้งเป้าหมายให้ดีว่า เงินที่ประหยัดกลับมาได้นั้น จะนำไปเก็บออม ไปลงทุน หรือซื้อกองทุนระยะยาวเป็นประจำทุกปี เป็นต้น

หักดิบไม่ได้ก็ฝึกวินัยไปก่อน!  

     แต่สำหรับใครที่คิดว่า จะกินกาแฟ กินชา หรือซื้ออะไรที่เป็นความสุขให้ตัวเองบ้างไม่ได้เชียวหรอ อย่าเพิ่งนอยด์ไป เพราะเราสามารถใช้แนวคิดของ Latte Factor เข้ามาช่วยปรับพฤติกรรมทางการเงินให้มีเงินเหลือกินเหลือเก็บมากขึ้นได้ ดังนี้

     1. เลือกวันฉลอง Happy Latte Day จากที่เคยเป็นรายจ่ายประจำ ลองปรับให้การดื่มกาแฟเป็นแค่ “โอกาสพิเศษ” ที่เราตั้งขึ้นมาเอง เพื่อเป็นการไม่หักดิบจนเกินไปสำหรับคอคาเฟอีน เช่น จากที่เคยดื่มกาแฟร้านเชนราคาแพงทุกวัน ให้เปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้งหรือ 2 วันครั้ง เป็นต้น

     2. ลดจำนวนแก้ว หากไม่เลือกวิธีกำหนดวันแบบแรกสามารถทำการลดจำนวนแก้วที่ดื่มต่อเดือนแทนได้ เช่น ถ้าดื่มกาแฟแก้วละ 70 บาททุกวัน จะต้องใช้เงินทั้งสิ้น 2,100 บาทต่อเดือน ซึ่งถ้ายังเลือกที่จะดื่มราคาเดิมหรือร้านเดิมต่อไป ให้ลดลงเหลืออาทิตย์ละ 3 แก้ว ซึ่งจะใช้เงินเพียง 840 บาทต่อเดือน ประหยัดจากเดิมได้ถึง 1,260 บาท ซึ่งสามารถนำส่วนต่างนี้ไปเก็บออมได้  

     3. จำกัดงบ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใช้วิธีจำกัดงบกาแฟที่จะดื่มได้อีกด้วย เช่น จาก 2,100 บาทต่อเดือน เลือกที่จะคุมงบให้ไม่เกิน 1,000 บาท และนำส่วนต่าง 1,100 บาทไปเก็บออมหรือเลือกลงทุนต่อไป

     ค่าใช้จ่ายของ Latte Factor ก็ไม่ต่างจากกาแฟลาเต้ที่กลิ่นนั้นช่างหอมกรุ่นและสุดจะยั่วยวนให้ต้องควักกระเป๋าจ่ายอยู่ร่ำไป อยู่ที่ว่าใครจะใจเด็ดลด-ละ-เลิกได้ ซึ่งยิ่งมีความมุ่งมั่นเท่าไร ยิ่งจะทำให้การวางแผนการเงินของตัวเองดีมากขึ้นเท่านั้น      

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: FINANCE

ใครเก็บเงินไม่เคยอยู่!   มาดู 6 แนวคิดการออมฉบับเด็กมัธยม ที่ง่ายจนผู้ใหญ่บางคนยังคิดไม่ถึง

ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วมันหัวหมุนไม่รู้จะจัดการทางการเงินยังไง? มาหาคำตอบได้จาก วิน – ภาสวิน ตันตินิติ นักการเงินวัย Teen ที่จะเฉลยให้รู้ว่า แค่มีเบสิกแน่นๆ และลงมือทำอย่างจริงจัง เรื่องการเงินที่ใครก็ว่ายาก อาจจะไม่ยุ่งยากอย่างที่คิดเสมอไป

EXIM BANK เปิดตัว “EXIM 2X” ปั้น GEN Y สู่เวทีการค้าโลก

EXIM BANK เดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ GEN Y เจ้าของธุรกิจและทายาทรุ่นใหม่ สู่การเป็นนักรบเศรษฐกิจบนเวทีโลก ผ่านหลักสูตร “EXIM 2X” ที่มุ่งสร้างผู้ส่งออกไทยรายใหม่ปีละกว่า 100 บริษัท

ปิดตายจุดเสี่ยง 6 Trick ป้องกันทุจริตการเงินง่ายๆ ในธุรกิจ

เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร…การรอบคอบ ป้องกันเอาไว้ก่อน คือ สิ่งดีที่สุด นอกจากจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ยังเป็นการช่วยปิดความเสี่ยง ยิ่งปิดได้มากเท่าไหร่ ธุรกิจก็ปลอดภัย ดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นเท่านั้น