Text: VaViz
ในวันที่ใครๆ ก็เป็น Influencer ได้ แม้กระทั่งผู้ประกอบการที่หย่อนขาข้างหนึ่งไปรับจ้างรีวิว ออกอีเวนท์ หรือขายสินค้าหรือบริการ ต้องมาอัปเดตให้ดีถึงภาษี Influencer ล่าสุด เพื่อที่จะได้วางแผนได้อย่างรัดกุมและไม่ต้องมานั่งกลุ้มว่าจะถูกตรวจสอบ โดนปรับ หรือโดนเรียกภาษีย้อนหลัง จนกระทั่งภาพลักษณ์ ชื่อเสียง แบรนด์ หรือธุรกิจที่มีอยู่ในมือต้องเสียหาย
ยื่นไว้ก่อน...ไม่เสี่ยงโดนปรับแบบจุกๆ!
เพื่อให้ไม่ต้องโดนเบี้ยปรับและภาระดอกเบี้ยของภาระภาษีที่ค้างจ่าย Influencer ควรทำการยื่นแบบภาษีให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้น หากกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า รายใดมีปัญหาหรือมีความผิดปกติในการยื่นแบบ จะมีการดำเนินการ ดังนี้
- กรณีที่ไม่มีการยื่นแบบภาษี กรมจะมีโทษเบี้ยปรับ 2 เท่า
- ส่วนที่ขาดการยื่นแบบภาษี ปรับ 1 เท่าของภาษี
นอกจากนี้ ยังจะโดนเงินเพิ่ม ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งกรมจะคิดในอัตรา 1.5% ต่อเดือน หรือ 18% ต่อปี สำหรับภาระภาษีส่วนที่ค้างจ่าย และเศษของเดือนคิดเป็น 1 เดือน
ระวัง!! กรณีที่ตั้งใจหลบเลี่ยงภาษี หากถูกจับได้ ภาระที่ต้องจ่ายจะสูงมาก เช่น หากมีภาระภาษีที่ต้องจ่าย 1 หมื่นบาท จะมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 1 หมื่นบาท (ตามระยะเวลาที่ค้างจ่ายภาษี) และบวกด้วยเบี้ยปรับอีก 2 เท่า รวมแล้วต้องจ่ายให้กรมสรรพากร 4 หมื่นบาท
แต่ถ้ามีภาระภาษีต้องจ่าย 1 ล้านบาท เมื่อโดนเบี้ยปรับและดอกเบี้ยแล้ว อาจสูงถึง 4 ล้านบาท ดังนั้น หากค้างจ่ายหลายปี จำนวนเงินที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เบี้ยปรับนั้นสามารถลดได้ตามดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เช่น เมื่อ Influencer รู้ตัวว่ามีภาษีที่ค้างจ่ายแล้วมายื่นชำระภายในเวลาที่เจ้าหน้าที่กำหนด หรือดูประวัติการยื่นเสียภาษีในอดีตว่าเคยยื่นเสียภาษีมาอย่างไรบ้าง เป็นต้น โดยสามารถลดเบี้ยปรับได้ 25% แต่สูงสุดไม่เกิน 50% ขณะที่ดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มไม่สามารถปรับลดลงได้
ปูพื้นฐานตั้งแต่ต้น...กันความสับสนเรื่องภาษี
Influencer หลายรายอาจไม่ได้ตั้งใจจะหลบเลี่ยงภาษี แต่ด้วยความเป็นอาชีพอิสระ จึงทำให้การยื่นภาษีมีปัญหา ในขณะที่บางรายอาจไม่มีความรู้ในเรื่องของการเสียภาษีจริงๆ ดังนั้น มาทำความเข้าใจตั้งแต่แรกกันดีกว่าว่า ลักษณะของเงินได้ของคนกลุ่มนี้นั้น เข้าข่ายมาตราอะไรบ้าง
- มาตรา 40 (2)
เป็นลักษณะงานที่มีค่าใช้จ่ายน้อย ไม่มีการจัดตั้งเป็นสำนักงาน อาศัยแรงงานตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดเงินได้ และไม่มีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงาน
- มาตรา 40 (8)
เป็นลักษณะงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง มีการจัดตั้งเป็นสำนักงานในการประกอบกิจการ มีค่าใช้จ่ายสำนักงาน ลงทุนในเครื่องมือเครื่องใช้ และมีการจ้างลูกจ้างหรือพนักงาน
4 แหล่งรายได้ของ Influencer
รู้แบบนี้แล้วก็ถึงเวลาพิจารณาให้ดีว่ารายได้ที่เข้ามานั้น จัดอยู่ในประเภทไหนและต้องคำนวณภาษีอย่างไร โดยวิเคราะห์ได้จาก 4 แหล่งรายได้ ดังต่อไปนี้
1. ส่วนแบ่งค่าโฆษณาจากแพลตฟอร์มต่างๆ
ถือเป็นเงินได้มาตรา 40 (8) ที่หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงเท่านั้น (หักอัตราเหมาไม่ได้) และเนื่องจากไม่เข้าลักษณะเป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ จึงไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. รับจ้างรีวิวสินค้า
แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
- ถ้าทำคนเดียว ใช้แรงงานตัวเอง มีค่าใช้จ่ายน้อย ไม่มีสำนักงาน ไม่มีลูกจ้าง จัดเป็นเงินได้มาตรา 40 (2) หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
- ถ้าทำเป็นรูปแบบธุรกิจ มีการลงทุนเครื่องมือเครื่องใช้ ค่าใช้จ่ายมาก มีสำนักงาน มีลูกจ้าง ถือเป็นมาตรา 40 (8) หักค่าใช้จ่ายตามจริง
3. โชว์ตัว / ออกอีเวนท์
แบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้
- ถ้าทำคนเดียว ใช้แรงงานตัวเอง มีค่าใช้จ่ายน้อย ไม่มีสำนักงาน ไม่มีลูกจ้าง จัดเป็นเงินได้มาตรา 40 (2) หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท
- ถ้าทำเป็นรูปแบบธุรกิจ มีการลงทุนเครื่องมือเครื่องใช้ ค่าใช้จ่ายมาก มีสำนักงาน มีลูกจ้าง ถือเป็นมาตรา 40 (8) หักค่าใช้จ่ายตามจริง
- ถ้าออกอีเวนท์ในลักษณะนักร้อง นักดนตรี นักแสดง หรือนักกีฬาอาชีพ ถือเป็นมาตรา 40 (8) หักค่าใช้จ่ายในอัตราเหมาได้ ดังนี้
(ก) เงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท 60%
(ข) เงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท 40%
โดยที่การหักค่าใช้จ่ายตาม (ก) และ (ข) รวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท
4. ซื้อมาขายไป
พูดง่ายๆ ว่าเป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เข้าตามมาตรา 40 (8) หักค่าใช้จ่ายตามจริง หรือแบบเหมา 60%
ทั้งนี้ รายได้ข้อ 2 – 4 เป็นรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เพราะฉะนั้น หากเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่มีรายได้ถึงเกณฑ์
ถึงเวลา...คำนวณภาษี
เมื่อเห็นภาพแล้วว่า แหล่งที่มาของรายได้นั้นมาจากไหนก็ถึงเวลามาคำนวณภาษีกันแล้ว ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจะต้องทำการคำนวณ 2 แบบคือ ภาษีจากเงินได้สุทธิและภาษีจากเงินได้พึงประเมิน หลังจากนั้นให้นำมาเปรียบเทียบกัน โดยวิธีไหนคำนวณแล้วเสียภาษีมากกว่า ให้เสียตามจำนวนนั้น
1. วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ
Step ที่ 1: เงินได้ - ค่าใช้จ่าย = เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย
Step ที่ 2: รวมเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย (ถ้ามีหลายประเภท) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
Step ที่ 3: นำเงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (คิดตามอัตราก้าวหน้า 5 – 35%) = ภาษีที่คำนวณจากเงินได้สุทธิ
2. วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน
สูตร: รายได้ (ตามประเภทในข้อ 1 + 2 + 3 + 4) x 0.5%
- ถ้าเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1,000,000 ล้านบาท ไม่ต้องคำนวณ
- ถ้าคำนวณแล้วภาษีไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษีประเภทนี้ แต่ยังคงต้องเสียภาษีตามวิธีที่ 1
ได้แนวทางมาแบบนี้แล้ว จะให้ดีสาย Influencer ต้องรู้จักเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการจัดทำรายการรายรับรายจ่าย พร้อมเก็บเอกสารและหลักฐานค่าใช้จ่ายเอาไว้ให้ครบถ้วน จะได้ไม่มีอะไรพลาดตกหล่น จนเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้
ที่มา: กรมสรรพากร, BTimes
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี