Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

Text : Wipawan In.


      เมื่อก่อนการพาสัตว์เลี้ยงมาทำงานอาจฟังดูเป็นไอเดียสุดแปลก ที่ใครได้ยินก็คงต้องเอ๊ะ? แต่วันนี้หลายออฟฟิศทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “Pet Friendly Workplace” มากขึ้น เพราะสัตว์เลี้ยงไม่ใช่แค่เพื่อนคลายเหงา แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตพนักงานโดยตรง การมีนโยบายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น พาเข้ามาในออฟฟิศ, มีวันลาสำหรับดูแลสัตว์เลี้ยง, หรือสวัสดิการประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างพนักงานกับองค์กร

     สิ่งที่น่าสนใจคือ นโยบาย Pet Friendly ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเพิ่มความสุขให้กับพนักงาน แต่ยังส่งผลชัดเจนกับ Retention Rate หรืออัตราการลาออกของพนักงาน หลายบริษัทพบว่า การให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงทำให้คนอยากอยู่ต่อกับองค์กรนานขึ้นจริง ๆ

นโยบาย Pet Friendly ดียังไง?

  • ดีต่อพนักงาน

          - ลดความเครียด และเติมพลังใจ แค่ได้มีสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ ๆ ช่วยกระตุ้นฮอร์โมน “ออกซิโตซิน” ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ความเครียดน้อยลง

          - Work-life balance หมดกังวลเรื่องต้องทิ้งสัตว์เลี้ยงให้อยู่บ้านลำพัง ทำงานได้สบายใจมากกว่า

          - ความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์กร เกิดความรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจไลฟ์สไตล์และคุณค่าของชีวิตส่วนตัว ทำให้เกิดความผูกพันมากขึ้น

  • ดีต่อองค์กร

          - Retention Rate ลดลง ลดโอกาสลาออก เพราะหลายคนยอมอยู่ต่อหากที่ทำงานมีนโยบาย Pet Friendly

          - Employer Branding สร้างภาพลักษณ์องค์กรให้ดูทันสมัย ใส่ใจพนักงาน และมีวัฒนธรรมเป็นมิตร ดึงดูดทั้งคนเก่งและลูกค้า

         - Productivity & Engagement พนักงานมีแรงใจในการทำงานมากขึ้น การทำงานเป็นทีมก็มีสีสันจากการมีน้องหมาน้องแมวช่วยเชื่อมสัมพันธ์

รูปแบบของ Pet Friendly Workplace

     - Bring Your Pet to Work: อนุญาตให้พนักงานพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในที่ทำงาน

     - Pet Facilities: จัดเตรียมพื้นที่หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เช่น มุมพักสัตว์เลี้ยง, สนามหญ้าเล็ก ๆ หรือพื้นที่ฝากสัตว์เลี้ยงชั่วคราว

     - Pet Benefits: สวัสดิการที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น วันลาเพื่อดูแลสัตว์เลี้ยง, ประกันสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ค่าใช้จ่ายสำหรับการฉีดวัคซีนหรือทำหมัน

     - Pet Events: จัดกิจกรรมพิเศษ เช่น วันพาสัตว์เลี้ยงมาเจอกันในออฟฟิศ หรือกิจกรรม CSR ร่วมกับองค์กรช่วยเหลือสัตว์ตามมูลนิธิต่างๆ

5 ผลสำรวจ Pet Friendly มีผลต่อองค์กร

     - Pet Product News ระบุว่า พนักงาน 1 ใน 5 มีอาการวิตกกังวล (Anxiety) ทันทีที่ต้องแยกจากสัตว์เลี้ยง และมีถึง 70% ที่ยอมลดเงินเดือนลงมา หากสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาที่ทำงานได้

      - HABRI ระบุว่า 82% ของ HR เห็นตรงกันว่า นโยบาย pet friendly เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยทั้ง การดึงดูด และ การรักษาคนเก่ง

     - HABRI ระบุว่า 74% ของพนักงาน รู้สึกผ่อนคลายและเครียดน้อยลงเมื่ออยู่ใกล้สัตว์เลี้ยง และมีความพึงพอใจในการทำงานมากยิ่งขึ้นถึง 67%

     - Nationwide & Pet Benefit Solutions พบว่า 32% ของพนักงานตัดสินใจทำงานในระยะยาวกับองค์กรที่มีสวัสดิการด้านสัตว์เลี้ยง

      - Vetster Survey ระบุว่า 47% ของพนักงานให้ความสำคัญกับ workplace ที่เป็น pet-friendly ในการเลือกสมัครงาน

4 ตัวอย่างองค์กรพร้อมขิง นโยบาย Pet Friendly

     - Major Development ปรับพื้นที่ในสำนักงานใหญ่ย่าน ทองหล่อ พร้อมอนุญาตให้พนักงานสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาทำงานในออฟฟิศได้

     - Tripadvisor สำนักงานใหญ่ในแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้นำสุนัขมาที่ทำงานได้ พร้อมสนับสนุนเงินและอาหาร

     - Humane Society of the United States มีสวัสดิการสนามเล่นให้สุนัข บริการเลี้ยงสุนัข ฝึกสุนัขในออฟฟิศ

     - Ben & Jerry’s มีนโยบายอนุญาตให้พนักงานพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในที่ทำงานได้

     ที่มา: - https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/230720-pet-policy/

              - https://blogs.psico-smart.com/ https://habri.org/ https://news.nationwide.com/ https://nypost.com/

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย

ทำไม SME ส่วนใหญ่จึงเป็นซอมบี้? 6 สเตจธุรกิจที่บอกว่า คุณ “ต้องเปลี่ยนตรงไหน” ถึงจะโตได้จริง

แม้จะมีสินค้ามีรายได้ แต่ทำไมธุรกิจถึงไม่ขยับไปไหนเสียที? คำตอบ อาจไม่ได้อยู่ที่การตลาด ไม่ใช่เรื่องทุน แต่อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า Business Growth Cycle วงจรชีวิตของธุรกิจ ที่จะช่วยให้คุณรู้ว่า “ตอนนี้ธุรกิจเราอยู่ตรงไหน?” และ “ต้องปรับอะไร ถ้าอยากโตจริง”