Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

     ย้อนไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน เราอาจเคยได้ยินคำว่า “Quiet quitting” หรือ “การลาออกอย่างเงียบๆ” เป็นสภาวะที่พนักงานยังคงทำงานตามปกติ แต่ไม่ทุ่มเท ไม่ทำงานเกินขอบเขตหน้าที่ ไม่ต่างจากคนที่ลาออกไปแล้ว แต่ความจริง คือ ยังทำงานอยู่

     วันนี้จะชวนมาทำความรู้จักกับเทรนด์ใหม่คนทำงานอีกหนึ่งคำ “Quiet Cracking” หรือ อาการแตกร้าว แตกสลายแบบเงียบๆ กัน

Quiet Quitting กับ Quiet Cracking แตกต่างกันยังไง?

     ถ้าให้พูดเข้าใจง่ายๆ Quiet Quitting ก็เหมือนการหมดใจ ไม่อินกับงานที่ทำต่อไปแล้ว แต่ Quiet Cracking อาการเหมือนคนอกหัก หัวใจสลาย คือ ยังรักและชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มทำต่อไปไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป

     ถามว่าอะไร คือ สาเหตุทำให้พนักงานที่รักและทุ่มเทในงานมาก ถึงเกิดความรู้สึกไปต่อไม่ไหว ไม่มีความสุขกับการทำงานเหมือนเดิมอีกต่อไป อาจเกิดจากปัจจัยต่อไปนี้

         1. ทำงานหนักเกินไป จนเกิดความเหนื่อยล้า

         2. ค่าตอบแทนไม่สมกับความทุ่มเท

          3. ขาดคนรับฟัง เห็นอกเห็นใจ

     สำหรับปัจจัยภายนอก ที่เป็นต้นตอนำมาซึ่งปัญหา อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การมาของ AI ที่ทำให้หลายตำแหน่งงานถูกลดปริมาณคนลง, สภาพเศรษฐกิจแย่ ทำให้เกิดการจ้างงานลดลง ถึงไม่ปลดออก แต่ก็ไม่จ้างใหม่ ทำให้คนที่เหลืออยู่ต้องแบกรับภาระแทนเพื่อน หรือตำแหน่งที่ออกไป จนมาเบียดบังเวลาชีวิตส่วนตัว ความรู้สึกอาจยังไม่ถึงขั้นอาการ Burnout การทำงานทุกอย่างยังดำเนินไปตามปกติ เพียงแต่ข้างในกลับเหนื่อยล้า ท้อแท้ จนพูดไม่ออก บอกไม่ถูก

     อาการที่บ่งชัดว่าพนักงานกำลังตกอยู่ในอาการนี้อยู่ เช่น

          - ดูเหนื่อยตลอดเวลา เงียบ ไม่สดใส ร่าเริง

          - หมดไฟ ขาดแรงจูงใจ

          - งานผิดพลาดบ่อยขึ้น

          - ขาดสมาธิ ตัดสินใจได้ช้าลง

          - ขาดความคิดสร้างสรรค์

          - ขาดงานบ่อย

The Big Stay อยู่ เพราะไม่มีที่ไหนดีกว่า

     ถ้าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดนั้น ถามว่าทำไมถึงไม่ลาออก หรือหางานใหม่ไปเลยล่ะ?

     คำตอบ คือ เพราะความจำเป็นที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่เอื้ออำนวยที่จะให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นได้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ไม่ง่ายเลยที่จะเสี่ยงลาออกไป เพื่อไปหางานใหม่ ไปจนถึงความกังวลต่างๆ เช่น เปลี่ยนงานใหม่ไป ก็อาจจะเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องน่ากลัวและเสี่ยงเกินไป การกลับมาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป อาจเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า

     ซึ่งก็สอดคล้องกับอีกหนึ่งเทรนด์ที่เรียกว่า “Big Stay” หรือ “Great Stay” คือ การที่พนักงานเลือกเก็บงานเดิมไว้ ไม่ได้มีความสุขเหมือนเก่า แต่ก็เลือกที่จะไม่ลาออก เพราะมองว่าอาจไม่มีที่ไหนดีกว่า เช่นเดียวกันกับนายจ้างที่ไม่เลือกปลดพนักงานออก แต่ก็ไม่จ้างพนักงานใหม่ เข้าสู่ภาวะ “ไม่จ้าง-ไม่ปลด” (no-hire, no-fire) ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตที่ยังไม่รู้ความแน่นอน

     จากการรายงานของ Business Insider พบว่ามีคนกว่า 200 คนเข้าร่วมแบบสำรวจเกี่ยวกับ Quiet Cracking ซึ่งส่วนใหญ่ตอบว่าเคยประสบกับอาการนี้

     Quiet Crack ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่องค์กรธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เกิดขึ้นได้กับทุกๆ วงการ ไม่ว่างานด้านครีเอทีฟ, เทคโนโลยี, ค้าปลีก ฯลฯ แต่ความน่ากลัว ซึ่งอาจเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้เลยอยู่ที่ Quiet Cracking มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในระดับตำแหน่งสูงๆ ระดับหัวหน้าขึ้นไป หรือคนที่ต้องรับผิดชอบงานเยอะๆ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ถูกแบกความคาดหวังไว้มากกว่าคนอื่น แต่องค์กรกลับหลงลืม ไม่รับรู้ รวมถึงไม่เคยได้รับสิ่งตอบแทนอย่างเหมาะสม จนทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกว่า ทำไปมากแค่ไหน  ก็มีค่าเท่าเดิม ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมากกว่าเก่า   

ความเสียหายที่เกิดขึ้นแบบเงียบๆ

    ถามว่าแล้วถ้าพนักงานมีความรู้สึกแบบ Quiet Cracking กันเยอะขึ้น จะส่งผลเสียอย่างไรต่อองค์กรบ้าง?

     คำตอบ คือ Quiet Cracking อาจไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแบบรุนแรงในทีเดียว แบบ Great Resignation (การลาออกครั้งใหญ่) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 จนทำให้ขาดแคลนแรงงานทำงาน แต่มันจะค่อยๆ แทรกซึมให้เกิดความเสียหาย หากไม่ได้ใส่ใจหรือลองสังเกตให้ดีๆ เจ้าของกิจการอาจไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจ

     ซึ่งมีมากมายหลายส่วน เช่น คุณภาพงานที่ลดลง, ความสร้างสรรค์ ความแอคทีฟต่องานที่ลดลง, ความผูกพัน จงรักภักดีต่อองค์กรที่ลดลง, ผลลัพธ์ที่เป็นภาพรวม Productivity ขององค์กรลดลง ที่บางครั้งอาจประเมินค่าไม่ได้เลย

     ดร. ชอนนา วอเทอร์ส นักจิตวิทยาองค์กรและซีอีโอของ Fractional Insights เคยกล่าวว่า Quiet Cracking ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและผลกำไร จนทำให้เหล่าบริษัทใน Fortune 1000 ต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 240-330 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากการแตกสลายของพนักงานเลยทีเดียว

เยียวยา รักษา ดูแลใจ

     ถามว่าเมื่อรู้ว่าพนักงานเกิดอาการ Quiet Cracking ขึ้น เจ้าของธุรกิจต้องรับมืออย่างไร มีคำแนะนำ ดังนี้

          1. สื่อสารกันให้มากขึ้น อาจเริ่มจากระดับทีม, แผนก, สายการบริหาร สร้างบอดร์ดแจ้งปัญหา, เปิดโอกาสให้เข้ามาปรึกษา พูดคุย โดยไม่ส่งผลกระทบต่องาน

          2. รับฟัง เห็นอกเห็นใจ ถามสารทุกข์สุกดิบ ทั้งเรื่องงาน และชีวิตส่วนตัว แฮปปี้ดีไหม ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า ช่วยหาหนทางแก้ไข ทำให้ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง

          3. ให้กำลังใจ ให้คำชม มีการมอบรางวัล หรือเพิ่มค่าตอบแทนบ้างตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดกำลังใจในการทำงาน

          4. จัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างความสนิทสนม, สามัคคีกันมากขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว มีเพื่อน มากกว่ามาทำงานอย่างเดียว

          5. ปรับสมดุลการทำงานให้เหมาะสมและเท่าเทียม ไม่หนักเกินไป จนเบียดบังเวลาส่วนตัว สุขภาพ วันหยุดพักผ่อน

    ที่มา :https://www.businessinsider.com/bi-today-sunday-newsletter-quiet-cracking-workplace-2025-8

               - https://www.techtarget.com/whatis/feature/Quiet-cracking

               - https://www.cnbc.com/2025/08/25/quiet-quitting-is-a-past-trend-why-workers-are-quiet-cracking.html

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย

ทำไม SME ส่วนใหญ่จึงเป็นซอมบี้? 6 สเตจธุรกิจที่บอกว่า คุณ “ต้องเปลี่ยนตรงไหน” ถึงจะโตได้จริง

แม้จะมีสินค้ามีรายได้ แต่ทำไมธุรกิจถึงไม่ขยับไปไหนเสียที? คำตอบ อาจไม่ได้อยู่ที่การตลาด ไม่ใช่เรื่องทุน แต่อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า Business Growth Cycle วงจรชีวิตของธุรกิจ ที่จะช่วยให้คุณรู้ว่า “ตอนนี้ธุรกิจเราอยู่ตรงไหน?” และ “ต้องปรับอะไร ถ้าอยากโตจริง”