เก่งแต่ไม่น่ารัก




 เรื่อง : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
           กรรมการบริหาร สลิงชอท กรุ๊ป


เคยเห็นคนเก่งที่ไม่น่ารักไหม


    เมื่อวันก่อนมีโอกาสไปบรรยายหลักสูตรการพัฒนาภาวะผู้นำให้กับกิจการขนาดกลางแห่งหนึ่ง จึงได้พบกับเอนก ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง เอนกเป็นคนเก่งที่ค่อนข้างกร่าง ในระหว่างการสัมมนา เขามีความเห็นขัดแย้งกับวิทยากรตลอดในเกือบทุกประเด็น และใช้เวลาอภิปรายความเห็นของตนเองค่อนข้างยืดยาว แต่เนื้อหาสาระที่พูด กล่าวโดยสรุปได้ว่า “ฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันเคยเป็น เคยทำมาก่อน วิธีการบริหารที่ถูกต้องมีวิธีเดียว คือ วิธีที่ฉันคิด!”


     ทุกครั้งที่เอนกแสดงความคิดเห็น เพื่ี่อนๆ ในห้องมักหันหน้าไปมองกันเลิกลั่ก แสดงสีหน้าเอือมระอา


    แต่จะว่าไปแล้ว เอนกเป็นคนน่าสงสาร เพราะเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเป็นที่สนใจและเป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆ ในทางที่ไม่ดี โชคดีที่ระหว่างเบรก เอนกแวะมาหาและขอพูดคุยด้วยเป็นการส่วนตัว ทำนองจะมาโชว์ภูมิต่อ แต่จังหวะอำนวยครับ


    ระหว่างพูดคุยกัน เอนกถามขึ้นว่า “อาจารย์คิดว่าผมเป็นไง”

    คงกะให้ผมอวยเต็มที่ แต่ผิดหวัง…

    ผมบอกเอนกตรงๆ ว่า “คุณเป็นคนเก่งที่ไม่ค่อยน่ารัก!”

    เงิบ! เอนกเงียบไปพักใหญ่ ผมคิดว่าเขาคงโกรธ

    แต่…ไม่ครับ เอนกตอบด้วยท่าทางมีกังวลระคนกับความฉงน “เหรอครับ ไม่เคยมีใครบอกผมอย่างนี้เลย อะไรทำให้คิดว่าผมเป็นอย่างนั้น”


    หลังจากนั้น เนื้อหาของบทสนทนาก็เปลี่ยนไป เอนกพูดน้อยลงและเปิดใจรับฟังมากขึ้น เราคุยกันครู่ใหญ่ ผมจึงเข้าใจความตั้งใจของเขา เอนกเล่าให้ฟังว่าเรียนจบมาทางด้านสังคมศาสตร์ แต่ปัจจุบันถูกมอบหมายให้ดูแลงานที่ต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิค ซึ่งไม่เคยเรียนมาก่อน จึงรู้สึกว่าลูกน้องและเพื่อนร่วมงานทุกคนเก่งและมีความรู้มากกว่า เนื่องจากจบสายตรงมา เอนกเลยพยายามค้นคว้าและหาข้อมูลเพื่อเพิ่มเติมความรู้ด้วยตนเอง อันที่จริงเป็นความตั้งใจที่น่าชื่นชม


    แต่เอนกไปไกลกว่านั้น เขาพยายามสร้างการยอมรับด้วยการแสดงความคิดเห็นในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับภูมิความรู้ทางด้านเทคนิคที่ได้ค้นหามา เพราะเชื่อมั่นว่านี่คือทางลัดในการสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น เอนกกำลังหลงผิดเพราะคิดจะแข่ง “ความเก่ง” ในเรื่องที่ตนเองไม่มีความรู้ อันที่จริงองค์กรเลือกเขามาเป็นหัวหน้าเพราะเห็นความสามารถในด้านการคิดสร้างสรรค์และการบริหารจัดการ แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยมีใครบอกความคาดหวังนี้


    ซ้ำร้ายกว่านั้น เอนกไม่ใช่ลูกหม้อแต่เพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่ได้ปีกว่าๆ ด้วยความเป็นคนอยากได้รับการยอมรับ จึงโชว์พลังในทุกโอกาสที่มี “ปล่อยของ” หลายอย่างทั้งในที่ประชุมและห้องสัมมนา จนกลายเป็นที่น่าหมั่นไส้ของหลายๆ คน


    วันนี้อเนกยอมรับว่า รู้สึกสับสน งุนงง และกำลังคิดวกวนว่าตนเองเหมาะกับที่นี่หรือไม่ เหตุใดผู้คนรอบข้างถึงดูไม่ค่อยเป็นมิตร ปัญหาอยู่ที่พวกเขาหรืออยู่ที่ตนเองกันแน่


    หัวหน้าโดยตรงก็เคยเรียกเอนกไปพูดคุยบ้าง แต่ไม่ได้บอกโต้งๆ ว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน อ้อมไปอ้อมมาทำนองว่าเตือนๆ ให้ปรับตัวเพื่อสร้างการยอมรับให้มากขึ้น อเนกเลยเข้าใจไปว่า สิ่งที่ทำเป็นการสร้างความยอมรับวิธีหนึ่ง คนอย่างเอนกมีอยู่เยอะมากในองค์กรต่างๆ คนพวกนี้เป็น “ม้าดีที่ไม่ได้ถูกฝึก” หากปล่อยไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำอะไร อาจกลายเป็นปัญหาที่ต้องมาตามแก้ภายหลัง ก็เป็นได้ วันนั้นผมจึงแนะนำเอนกไปว่า...


    ปรับวิธีคิด : ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของเอนกคือ สิ่งที่ตั้งใจ (Intention) กับสิ่ิงที่ผู้อื่นเข้าใจ (Perception) มีความแตกต่างกันมาก แต่ที่ผ่านมาอาจไม่ได้สนใจ ไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ทันสังเกตถึงความผิดเพี้ยนนี้เสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น เขาพยายามแสดงความคิดเห็นในทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะตั้งใจอยากให้คนที่ทำงานด้วยเห็นว่า ตนเองมีความรู้ในเรื่องเทคนิคเพิ่มมากขึ้น แต่ผู้อื่นกลับเข้าใจว่าเอนก อยากจะอวดภูมิในสิ่งที่ตนเองไม่ได้มีความรู้จริง เป็นต้น ดังนั้น ชุดความเชื่อใหม่ที่เอนกต้องนำไปปรับใช้คือ “ผู้นำที่ดี ผู้อื่นตัดสิน และผู้อื่นมักตัดสินจากสิ่งที่เขาเข้าใจ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำตั้งใจ” เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าเอนกคิดว่าตนเองเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่ คนอื่นต่างหากเป็นผู้บอก ปัญหาคือเอนกไม่รู้ว่าคนอื่นมองเขาอย่างไร 


    รับฟังข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) : แนวทางหนึ่งในการรับรู้มุมมองที่ผู้อื่นมีต่อเรา คือ การขอข้อมูลป้อนกลับจากผู้คนรอบข้าง (หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง เป็นต้น) โดยวิธีการที่หลายๆ องค์กรใช้กันอย่างแพร่หลายคือ การขอข้อมูลด้วยคำถาม 3S


Start - มีอะไรที่ ที่ผ่านมายังไม่ได้ทำ อยากให้เริ่มต้นทำ
Stop - มีอะไรที่ ที่ผ่านมาทำบ่อยๆ ไม่อยากให้ทำ ขอให้หยุดทำ
Stay - มีอะไรที่ ที่ผ่านมาทำได้ดีอยู่แล้ว อยากให้ทำต่อไป

    จะเห็นได้ว่าคำถาม 3S ให้ข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าการถามว่า “คิดอย่างไรกับเอนก” เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ต้องทำความเข้าใจว่า Feedback เป็นแค่มุมมอง (Perception) ที่ผู้อื่นมีต่อเรา ไม่ได้แปลว่า เราเป็นอย่างที่เขาเข้าใจเสมอไป เพียงแต่ข้อมูลนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้คิดทบทวนท่าทีที่ผ่านมาของตนเอง


    เลือกสิ่งที่ต้องการพัฒนาและประกาศเจตนารมณ์ให้ชัดเจน : เลือกประเด็นที่เห็นด้วยและต้องการจะปรับปรุงอย่างน้อย 3 ข้อจากข้อมูลป้อนกลับที่ได้รับ (อาจเลือกจาก Start/Stop/Stay อย่างละ 1 ข้อก็ได้) จากนั้นประกาศความตั้งใจนี้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง เป็นต้น ได้รับทราบ เพื่อให้ช่วยกันสังเกตและคอยเตือนหากหลงลืมไป


    ตั้งใจฝึกฝนและเข้มงวดกับตนเอง : การเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่ยากและท้าทายเสมอ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนทักษะ บุคลิกหรือนิสัยที่ติดตัวมานาน ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก ไม่มีเครื่องมือวิเศษใดๆ ที่จะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงได้ผลรวดเร็วและยั่งยืน ต้องอาศัยความตั้งใจและวินัยต่อตนเองเท่านั้นที่จะช่วยสร้างความสำเร็จนี้ได้ 


    คนเก่งหลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักสงสัยว่าทำไมตนเองจึงไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหรือตบรางวัลงามๆ ทั้งๆ ที่มีผลงานโดดเด่น เป็นไปได้ว่า พวกเขาไม่รู้ว่าพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงออกโดยไม่ได้ตั้งใจ กลับกลายเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นความสำเร็จ ทำให้กลายเป็น “คนเก่งที่ไม่น่ารัก” ในสายตาของคนรอบข้างไปเสีย


    ทุกอย่างยังไม่สาย หากรู้สึกว่าคนรอบกายเป็นเช่นนี้ ตัดสินใจบอกเขาตรงๆ เหมือนอย่างที่ผมบอกเอนกหรือไม่ก็ส่งบทความนี้ให้อ่าน อาจช่วยได้ครับ

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร