แรงงานพัฒนาช้า…โจทย์ใหญ่ SMEs ไทย

 
ด้วยลักษณะธุรกิจของ SMEs ที่ค่อนข้างเน้นแรงงานเป็นสัดส่วนสูงในการประกอบกิจการ  ปัจจัยด้านแรงงานจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อความอยู่รอดของธุรกิจ  แต่นอกเหนือจากปัญหาค่าแรงขั้นต่ำที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นแล้ว  ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็กำลังกลายเป็นจุดสนใจด้วยเช่นกัน  ซึ่งในภาวะที่แรงงานอาจเกิดการขาดแคลนได้ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้าเช่นนี้ หากธุรกิจ SMEs จะสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้นั้น ก็จำต้องหันมาใช้วิธีเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) อย่างยั่งยืน
 
ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า แรงงานไทยซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจไทยมาตลอดนั้น กำลังจะเริ่มลดจำนวนลง การที่เศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตต่อไปได้นั้น จึงต้องหันมาพึ่งพาการโยกย้ายแรงงานไปสู่ภาคธุรกิจที่สร้างมูลค่าต่อแรงงานมากขึ้น  และก็ต้องพึ่งพาการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปี 2011 นั้น กว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากการขยายตัวของตลาดแรงงานที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมูลค่าโดยรวมสูงขึ้น แต่ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า จำนวนแรงงานไทยจะเริ่มหดตัวลง เนื่องจากแรงงานที่จะเกษียณอายุในอีก 10-15 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนสูงกว่าประชากรที่จะเข้าสู่วัยทำงานในช่วงเวลาเดียวกัน 
 
ซึ่งจากแนวโน้มของตลาดแรงงานของไทยที่จะหดตัวลงเช่นนี้ การสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคตจึงต้องหันมาเน้นการเสริมสร้างผลิตภาพแรงงานโดยรวม โดยอาจเกิดขึ้นจากการโยกย้ายแรงงานจากภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพแรงงานต่ำไปยังภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพแรงงานสูง หรืออาจเกิดขึ้นได้จากการเพิ่มมูลค่าผลผลิตต่อแรงงานในทุกๆ ภาคธุรกิจให้สูงขึ้น
 
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แรงงานไทยกลับมีการเติบโตของผลิตภาพค่อนข้างต่ำ ในขณะที่ระดับของผลิตภาพแรงงานปัจจุบันก็ยังต่ำเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดอย่างมาเลเซีย แรงงานไทยมีผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ประมาณ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ในปี 2011 (ณ ราคาปี 2000) โดยในช่วงปี (2005-2011) ไทยสามารถเพิ่มผลิตภาพแรงงานได้เพียง 1.4% ต่อปี ซึ่งนับว่าต่ำลงจากช่วงปี 2000-2005 ที่เติบโตได้ถึงปีละ 3.8% 
 
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างมาเลเซียแล้ว ยิ่งย้ำให้เห็นถึงข้อเสียเปรียบของไทย เพราะถึงแม้มาเลเซียจะมีการเติบโตของผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ 1.4% เท่ากับไทยในช่วงปี 2005-2011 ก็ตาม แต่มาเลเซียมีผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ระดับสูงแล้ว คือประมาณ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนในปี 2011 (ณ ราคาปี 2000) นอกจากนี้ หากยกตัวอย่างประเทศกำลังพัฒนาที่มีผลิตภาพแรงงานในระดับใกล้เคียงกับไทย เช่น จีน จะพบว่า จีนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีของผลิตภาพแรงงานอยู่สูงถึงกว่า 10% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนไทยอาจจะยังต้องติดกับดักรายได้ระดับกลาง (middle-income trap) อยู่อีกนานพอสมควร และจะต้องถูกจีนแซงหน้า และมาเลเซียทิ้งห่างในไม่ช้า หากยังไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้นกว่านี้ 
 
การดึงแรงงานเข้าสู่ภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพแรงงานสูงเป็นวิธีการเพิ่มผลิตภาพแรงงานวิธีหนึ่ง ภาคการผลิตของไทยเป็นภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพแรงงานสูงถึงกว่า 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ในปี 2011 (ณ ราคาปี 2000) ในขณะที่ภาคการเกษตรและภาคบริการมีผลิตภาพแรงงานอยู่ที่ระดับประมาณ 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน และ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน ตามลำดับ 
 
แต่เนื่องจากสัดส่วนของแรงงานของไทยกลับไปกระจุกตัวอยู่ในภาคธุรกิจที่มีผลิตภาพแรงงานต่ำกว่า คือมีสัดส่วนแรงงานทั้งระบบอยู่ในภาคการเกษตรกว่า 40% และภาคบริการและอื่นๆ อีก 46% ในขณะที่แรงงานในภาคการผลิตมีเพียง 14% เท่านั้น   ดังนั้น ค่าเฉลี่ยผลิตภาพแรงงานจึงถูกฉุดดึงลงมาต่ำที่ประมาณ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคน จึงเห็นได้ชัดว่า หากต้องการผลักดันเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตหลุดพ้น middle-income trap ได้นั้น แนวทางสำคัญแนวทางหนึ่งคือการผลักดันให้เกิดการโยกย้ายแรงงานจากภาคการเกษตรและภาคการบริการและอื่นๆ เข้าสู่ภาคการผลิตที่มีผลิตภาพแรงงานสูงกว่า ให้มากขึ้นกว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน
 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย