จับตา ‘วิกฤตแรงงาน’ ในธุรกิจ SME หลังเจอพิษ COVID-19




Main Idea
 
  • มาตรการภาครัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ประกาศใช้ทั้งมาตรการ Lockdown และการรณรงค์ด้าน Social Distancing มีผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน ซึ่งกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของการจ้างงานทั้งหมดเป็นการจ้างงานในธุรกิจ SME ที่มีความเปราะบางกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
 
  • KKP Research คาดว่าในกรณีที่สถานการณ์ชะลอลงในสิ้นไตรมาส 2 แต่ยังมีมาตรการ Lockdown บางส่วนต่อเนื่องในไตรมาส 3 จะส่งผลให้มีการเลิกจ้างหรือถูกพักงานโดยไม่มีรายได้ เพิ่มสูงถึง 4.4 ล้านคน ส่งผลให้การว่างงานเพิ่มเป็น 4.9 ล้านคน (13.2 เปอร์เซ็นต์ ของแรงงานไทย) และยังมีความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นหากยังยืดเยื้อ
 
  • จึงมองว่า รัฐควรมีมาตรการเชิงรุกเพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจรักษาการจ้างงาน เร่งลงทุนเพื่อสร้างงานใหม่ และเสริมทักษะแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อให้เศรษฐกิจกลับฟื้นขึ้นได้โดยเร็วเมื่อสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย เพิ่มเติมจากมาตรการเชิงเยียวยาที่ทยอยออกมาก่อนหน้านี้ 



     สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ มีลักษณะเฉพาะ มีความรุนแรง
และแตกต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เคยประสบพบเจอมา เนื่องจากกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตประจำวัน กิจกรรมในภาคเศรษฐกิจจริงลดลงอย่างรุนแรง อีกทั้งยังเกิดขึ้นเป็นวงกว้างทั่วโลก ส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศตัดสินใจปิดประเทศ และออกมาตรการให้ประชาชนอยู่บ้าน (Lockdown) หรือรณรงค์ให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) กลายเป็นความเสี่ยงจากนโยบายที่กระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคบริการที่จำเป็นต้องมีการติดต่อพบปะกัน (Physical Presence) ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนายจ้างและลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างหนักทั้งในแง่การประคับประคองกิจการ การว่างงานที่เพิ่มขึ้น และรายได้จากการทำงานที่ลดลง
 


                โควิดพ่นพิษ กระทบธุรกิจ 4 ด้าน


     KKP Research  รายงานผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจจากการแพร่ระบาดของ  COVID-19 ว่ามี 4 ด้าน ได้แก่ 1. การถูกสั่งปิดกิจการชั่วคราวโดยอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่บัญญัติไว้ตามกฎหมาย 2. รายรับที่ลดลงอย่างมากจากมาตรการ Lockdown หรือการรณรงค์ให้มีระยะห่างทางสังคม 3. กระบวนการผลิตชะงักงันจากการรับมอบวัตถุดิบหรือส่งมอบสินค้าที่ไม่เพียงพอหรือไม่ทันการ (Supply Chain Disruption) และ 4. ลูกค้าธุรกิจชะลอการชำระเงินค่าสินค้าและบริการ (Trade Credit) ซึ่งในแต่ละกรณีจะส่งผลต่อการตัดสินใจด้านการจ้างงานของนายจ้าง ทั้งในแง่จำนวนการจ้างงานหรือการปรับลดชั่วโมงทำงาน  เนื่องจากค่าจ้างถือเป็นต้นทุนหลักในการดำเนินงาน (Operating Cost) ในหลายธุรกิจ ผลกระทบจากการลดการจ้างงานจะสูงที่สุดในกลุ่มลูกจ้างที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม (มาตรา 33) เช่นเดียวกับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่รายได้จะลดลงอย่างมากจากกำลังซื้อที่หดตัว
 




     แรงงานในธุรกิจ SME และแรงงานนอกระบบ เสี่ยงเลิกจ้างสูงสุด
               

     KKP Research  ให้ข้อมูลต่อว่า การจ้างงานมากกว่าครึ่งในตลาดแรงงานไทยเป็นการจ้างงานนอกระบบ ซึ่งรวมถึงการจ้างงานเกือบทั้งหมดในภาคเกษตร (24 เปอร์เซ็นต์) และแรงงานที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบประกันสังคม (31 เปอร์เซ็นต์) และหากนับรวมแรงงานและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ประกันตนเองโดยสมัครใจในระบบประกันสังคมมาตรา 39 และ 40 ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับสวัสดิการว่างงานแล้ว (10 เปอร์เซ็นต์) เท่ากับว่าในการจ้างงานทั้งหมดประมาณ 38 ล้านคน มีแรงงานถึงราว 2 ใน 3 ที่จะไม่ได้รับความคุ้มครองและค่าชดเชยใดๆ ทั้งจากนายจ้างและระบบประกันสังคมในกรณีถูกเลิกจ้าง แรงงานนอกระบบจึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้างฉับพลันสูงสุดในกรณีที่ภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง





     โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บันเทิงและนันทนาการ ค้าปลีกและค้าส่ง ที่มีการจ้างงานนอกระบบสูงกว่าค่าเฉลี่ย  และยังเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 สูงที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น การจ้างงานกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ในโครงสร้างแรงงานไทยเป็นการจ้างงานในธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม หรือ SME ที่มักมีสถานะทางการเงินและทางเลือกในการระดมทุนจำกัดกว่าธุรกิจรายใหญ่ อีกทั้งการจ้างงาน SME มีความเข้มข้นสูงในภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก COVID-19 จึงมีโอกาสจะได้รับผลกระทบในแง่การจ้างงานหรือรายได้สูง
               


     ประเมินความหนักผลกระทบจากพิษ COVID-19


     KKP Research  รายงานว่า ภาคธุรกิจใดจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดจาก COVID-19 นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจว่าอ่อนไหวเพียงใดต่อภาวะเศรษฐกิจและมาตรการของภาครัฐ โดย KKP Research ใช้เกณฑ์ 3 ด้านในการพิจารณาความรุนแรงของผลกระทบ ได้แก่ 1. ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่ไม่จำเป็น (Discretionary Spending) ซึ่งจะถูกตัดออกจากการใช้จ่ายเป็นลำดับต้นๆ ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย 2. ความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจจากที่บ้าน (Work from Home) และ 3. ความสามารถในการขายสินค้าหรือบริการแก่ลูกค้าภายใต้การรักษาระยะห่างทางสังคม (Value Delivery Under Social Distancing)


    การประเมินภายใต้เกณฑ์ร่วมทั้ง 3 ด้านนี้ พบว่า ภาคธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบต่อการจ้างงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคาร ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ การขนส่ง การค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากรายได้หดตัว แรงงานปรับรูปแบบเป็นการทำงานจากที่บ้านได้ยาก และมีช่องทางค่อนข้างจำกัดในการส่งสินค้าหรือบริการโดยไม่ต้องพบปะกัน
 



     คาดการว่างงานจะพุ่งสูงถึงกว่า 5 ล้านคน


     ภายใต้สมมติฐานที่สถานการณ์การระบาดจะชะลอลงภายในสิ้นไตรมาส 2 แต่ยังคงมีมาตรการปิดเมืองบางส่วนต่อเนื่องในไตรมาส 3 และใช้ระดับการประเมินผลกระทบรายธุรกิจตามเกณฑ์ข้างต้น ประกอบกับการปรับให้แรงงานนอกระบบได้รับผลกระทบมากกว่าแรงงานในระบบในแต่ละภาคธุรกิจ KKP Research  คาดว่าจะมีการเลิกจ้างงานหรือถูกพักงานโดยไม่มีรายได้ เพิ่มขึ้นจาก COVID-19 อีกกว่า 4.4 ล้านคน ส่งผลให้การว่างงานโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นเป็น 4.9 ล้านคนหรือคิดเป็น 13.2 เปอร์เซ็นต์ ของกำลังแรงงานไทย  โดยภาคธุรกิจที่จะมีการเลิกจ้างหรือพักงานมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจโรงแรมและบริการอาหาร ซึ่งคาดว่าจะมีการจ้างงานลดลงถึง 1.5 ล้านคน (-25 เปอร์เซ็นต์) และ 9.9 แสนคน (-34 เปอร์เซ็นต์) ตามลำดับ นอกจากนี้ การจ้างงานในธุรกิจบันเทิง ก่อสร้าง และธุรกิจขนส่งจะได้รับผลกระทบสูงถึงราว 24-28 เปอร์เซ็นต์


     ขณะที่ในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบทั้งจากคำสั่งซื้อจากในและต่างประเทศที่ลดลง การติดขัดในห่วงโซ่การผลิต และสต๊อกสินค้าคงคลังเดิมที่อยู่ในระดับสูง คาดว่าการจ้างงานจะลดลง 5.8 แสนคนหรือ 10 เปอร์เซ็นต์ จากระดับการจ้างงานก่อนสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนี้ ยังมีความเสี่ยงต่อการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นหากสถานการณ์ยืดเยื้อกว่าที่ประเมินไว้
               


     ภาคการเกษตรไม่อาจรองรับแรงงานจากเมืองได้เหมือนแต่ก่อน


      KKP Research รายงานต่อว่า แรงงานที่ถูกเลิกจ้างในภาคบริการและภาคการผลิตจะประสบปัญหาในการหางานใหม่ในเขตเมืองในห้วงเวลาที่ทุกองคาพยพของเศรษฐกิจไทยต่างได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ในขณะที่ภาคเกษตรที่เคยเป็นแหล่งรองรับการไหลกลับของแรงงานจากเมืองจากวิกฤตคราวก่อนๆ อาจไม่มีความสามารถในการจุนเจือรายได้ให้แก่ผู้ถูกเลิกจ้าง ทั้งด้วยจำนวนผู้ที่จะตกงานที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ และด้วยปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อเนื่องให้ปริมาณผลผลิตพืชเศรษฐกิจหลักลดลง โดยเฉพาะข้าวซึ่งแม้ราคาตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ครัวเรือนเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งชลประทานได้หรือยังประสบภาวะภัยแล้ง จึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลิตผลได้เพียงพอต่อการสร้างรายได้


     เด็กจบใหม่เสี่ยงตกงานสูง ต้องทำงานต่ำกว่าความสามารถ


     KKP Research คาดว่าในช่วงกลางปีนี้ จะมีนักศึกษาจบใหม่ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานราว 340,000 คน อย่างไรก็ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติมด้วยการแพร่ระบาดของ COVID-19 อาจทำให้มีเพียงราว 1 ใน 3 ของบัณฑิตจบใหม่เหล่านี้ที่สามารถหางานที่เหมาะสมกับระดับทักษะได้ โดยจะเป็นกลุ่มที่ศึกษามาในสายวิชาชีพหรือเทคโนโลยี ที่ยังเป็นที่ต้องการในหลายภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจสารสนเทศและการสื่อสารที่ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง และได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ COVID-19  บัณฑิตจบใหม่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องเลือกทำงานต่ำกว่าระดับ หรือตัดสินใจไม่เข้าสู่ตลาดแรงงาน และยังขาดช่องทางในการเสริมทักษะจากความไม่พร้อมของสถานศึกษาในการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นค่าเสียโอกาสสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจต้องอยู่ในภาวะชะงักงันเป็นเวลานาน
 




     แนวทางเชิงรุกด้านการจ้างงาน เพื่อฟื้นไข้โควิด พลิกธุรกิจให้ไปต่อ


     KKP Research มองว่า รัฐบาลควรมีมาตรการสนับสนุนการจ้างงานเพื่อให้เศรษฐกิจกลับฟื้นขึ้นได้โดยเร็วเมื่อสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย โดยมาตรการจากทางการที่ออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเงินโอน 5,000 บาท (“เราไม่ทิ้งกัน”) การพักชำระหนี้ชั่วคราว หรือการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loans) ผ่านสถาบันการเงินให้แก่ธุรกิจ เป็นมาตรการเชิงเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อลูกจ้างและภาคธุรกิจ โดยมีการจ้างงานเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งแต่ไม่ได้เป็นเงื่อนไขหลักในการขอรับความช่วยเหลือ อีกทั้งข้อมูลของภาครัฐที่ไม่สมบูรณ์หรือผิดพลาดยังทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติทั้งที่ความช่วยเหลือจำเป็นต้องถึงมือผู้ที่ประสบปัญหาจริง และด้วยความรวดเร็วทันการ จึงอาจก่อให้เกิดภาระแก่รัฐมากเกินความจำเป็น (Moral Hazard and Inefficiency)
               


      ซึ่ง KKP Research มองว่า นอกจากมาตรการเชิงเยียวยาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ทางการควรมีมาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาการจ้างงานให้อยู่ระดับที่พร้อมต่อการขับเคลื่อนธุรกิจเมื่อสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งอาจทำได้โดย 1. การกำหนดเงื่อนไขในการรักษาระดับการจ้างงานขั้นต่ำในการขอรับความช่วยเหลือ โดยอาจมีข้อยกเว้นได้ในบางกรณี 2. การอุดหนุนการจ่ายค่าจ้างให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างเป็นสัดส่วนตามผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากคำสั่งปิดเมืองของภาครัฐ 3. การออกแบบโครงสร้างความช่วยเหลือให้ผู้ที่อยู่ในการจ้างงานและธุรกิจที่คงตำแหน่งงาน ได้รับประโยชน์จากมาตรการไม่น้อยไปกว่าการพักงานหรือการเลิกจ้าง เพื่อลดปัญหา Moral hazard และ 4. สนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าระบบประกันตนเองในภาคสมัครใจเพิ่มมากขึ้น โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจมากกว่าการสงเคราะห์อุดหนุนจากภาครัฐในแบบเดิม โดยอาจให้หน่วยงานของรัฐจ่ายเงินสมทบ เพื่อลดภาระทางการคลังในอนาคต และเพื่อสร้างฐานข้อมูลด้านการจ้างงานที่ครอบคลุมและถูกต้อง พร้อมต่อการให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในระยะต่อไป
 
 

     เร่งสร้างงานในท้องถิ่นและส่งเสริมการเพิ่มทักษะใหม่


     นอกจากนี้ KKP Research ยังมองว่า  ภาครัฐควรมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างเพื่อให้แรงงานยังสามารถรักษาทักษะ มีรายได้ และเพิ่มทักษะใหม่เพื่อรองรับงานประเภทใหม่ได้ ทั้ง 1. การขยายการลงทุนในท้องถิ่นเพื่อสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่ก่อให้เกิดประโยชน์จริงต่อเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การลงทุนพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง หรือลงทุนด้านระบบบริหารจัดการน้ำในเขตอุตสาหกรรม อีกทั้งอาจลงทุนในด้านสุขอนามัยและเวชภัณฑ์ มีการจ้างงานด้านสาธารณสุขเพื่อเป็นผู้ให้ความรู้หรือรณรงค์ด้านอนามัย หรือเป็นผู้ช่วยแพทย์และพยาบาล ในห้วงเวลาปัจจุบันที่โรค COVID-19 และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจจะยังดำรงอยู่ไปอีกพักหนึ่ง และ 2. การเสริมทักษะแรงงานที่ถูกเลิกจ้าง เพื่อให้แรงงานสามารถพัฒนาศักยภาพของตน หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ เพื่อประโยชน์ในการหางานในอนาคตเมื่อสถานการณ์ COVID-19 บรรเทาลง โดยโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นควรมีการปรึกษาร่วมกันทั้งในแง่ความต้องการและความเป็นไปได้กับหน่วยงานท้องถิ่น และอาจเป็นการต่อยอดจากโครงการเดิมหากยังมีอยู่เพื่อสร้างงานและเพิ่มเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจได้โดย
เร็วที่สุด
 
               

     แรงงานคือหัวใจสำคัญของธุรกิจ SME และวิกฤตที่เกิดขึ้น ก็คงส่งผลต่อการประกอบกิจการของ SME อย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่คือความท้าทายของการปรับตัวเพื่อประคับประคองธุรกิจ โดยหากสถานการณ์พลิกฟื้นคืนกลับมาได้เร็ว ก็เชื่อว่ากิจการของ SME จะกลับมาเข้มแข็ง และพร้อมเป็นพื้นที่สร้างงานสร้างอาชีพให้กับแรงงานที่มีศักยภาพของบ้านเราต่อไป เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน               
 


 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 
 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร