Work From Home ช่วยได้! ผลวิจัยชี้คนทำงานแฮปปี้ การทำงานดีขึ้นเมื่ออยู่บ้าน




Main Idea
 
  • สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องปรับโหมดสู่การทำงานแบบ Work From Home เปลี่ยนบ้านเป็นที่ทำงาน และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน
 
  • หลายคนอาจคิดว่าประสิทธิภาพในการทำงานอาจลดลง คนส่วนใหญ่อาจต้องรู้สึกเหงา อึดอัด และอัดอั้น แต่ผลการวิจัยกลับพบว่า คนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับการทำงานแบบยืดหยุ่น มองว่าการทำงานจากที่บ้านทำให้ชีวิตการทำงานดีขึ้น รู้สึกเหงาน้อยลง
 
  • ปรากฎการณ์นี้เองที่อาจส่งผลให้รูปแบบการทำงานในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร หากมาตรการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นด้วยและแฮปปี้ในการทำงานจากที่บ้าน 




      สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนต้องกักตัวอยู่ในบ้าน และปรับตัวสู่การทำงานแบบ Work From Home ผู้ประกอบการหลายคน เกิดคำถามขึ้นมาว่า การทำงานที่บ้านจะให้ผลลัพธ์ที่ดีจริงหรือไม่ พนักงานจะยังทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพเหมือนตอนอยู่ที่ทำงานแค่ไหน ที่สำคัญสุขภาพกายและใจของคนทำงานจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน





      ซิกน่าอินเตอร์เนชันแนลมาร์เกตส์ ร่วมกับ บริษัท กันตาร์ (Kantar) เผยผลสำรวจคะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่แบบ 360 ประจำปี 2563 ของซิกน่า (360 Well-Being Survey) เกี่ยวกับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 (ชุดแรก) เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อภาวะความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก โดยมีดัชนีชี้วัดที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านความเป็นอยู่ทางกายภาพ, ครอบครัว, สังคม, การเงิน และการทำงาน โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 10,204 คนจาก 8 ประเทศ คือ จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, สเปน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก หัวข้อที่ศึกษาประกอบด้วย ภาวะความเหงา การทำงานจากที่บ้าน การบริการด้านสุขภาพเสมือนจริง ความเป็นอยู่ที่ดีในที่ทำงาน และวิถีชีวิตแบบใหม่ ซึ่งพบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
 
 


  • ชีวิตการทำงานดีขึ้น และสื่อสารกันมากขึ้นเมื่อ Work From Home


      หนึ่งในผลการศึกษาที่พบคือ การทำงานที่บ้านเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน ความสัมพันธ์และการสื่อสารเกี่ยวกับงานมากขึ้น โดยแม้อาจต้องใช้เวลาไปกับการทำงานที่ยาวนานขึ้น แต่คนยังมองว่าการทำงานจากที่บ้านทำให้ชีวิตการทำงานของพวกเขาดีขึ้น จากรายงานพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ระบุว่า วันทำงานของพวกเขามีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ตามมาด้วยประเทศสเปน 80 เปอร์เซ็นต์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 79 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่ามีค่าเฉลี่ยสูงกว่าทั่วโลกถึง 76 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้อาจบ่งชี้ได้ว่ารูปแบบการทำงานของผู้คนอาจจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร เมื่อมาตรการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง


      ผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยยังระบุอีกว่า พวกเขาใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤต โดย 68 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยว่าการทำงานจากที่บ้านและการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ช่วยปรับปรุงการสื่อสารและการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานให้ดียิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับ 64 เปอร์เซ็นต์ จากค่าเฉลี่ยทั่วโลก แต่ในทางกลับกัน ก็ยังมีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามอีก 8 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบุว่าไม่ได้ช่วยปรับปรุงระบบการทำงานแต่อย่างใด
 



 
  • อยู่บ้านเหมือนจะเฉา แต่คนกลับรู้สึกเหงาน้อยลง

 
       ผลการศึกษายังพบอีกว่า ผู้คนรู้สึกเหงาลดลง โดยการล็อกดาวน์อาจเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้คนได้ จากรายงานของเดือนเมษายนพบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยวและห่างไกลจากผู้อื่นลดลง (8 เปอร์เซ็นต์) เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม (11 เปอร์เซ็นต์) แต่เมื่อสอบถามว่าพวกเขาเหล่านั้นรู้สึกใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้นหรือไม่ พบว่า 73 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอบว่า ใช่ และระบุว่า รู้สึกใกล้ชิดกับผู้อื่นมากยิ่งขึ้นในเดือนเมษายน เมื่อเปรียบเทียบกับ 69 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนมกราคม ทั้งนี้ แม้ในหลายประเทศจะมีการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์แบบเบ็ดเสร็จ แต่ในบางประเทศ อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พบว่า ระดับความใกล้ชิดถูกพัฒนาขึ้น จาก 71 เปอร์เซ็นต์ เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ และ ในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นจาก 70 เปอร์เซ็นต์ เป็น 79 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสเปนเพิ่มขึ้นจาก 81 เปอร์เซ็นต์ เป็น 91 เปอร์เซ็นต์
 



 
  • ชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้น แต่ยังพอใจกับการเปลี่ยนบ้านเป็นที่ทำงาน

       แม้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลาการทำงานที่ยาวนานมากขึ้น แต่ส่วนมากกลับเห็นด้วยในมาตรการการทำงานจากที่บ้าน และลงความเห็นว่า รูปแบบการทำงานในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ทั้งนี้จากการสำรวจ พบว่า ประเทศส่วนใหญ่ที่มีมาตรการทำงานจากที่บ้าน กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา หรือที่เรียกว่า ‘Always on’ และรู้สึกว่าวันทำงานของพวกเขายาวนานมากยิ่งขึ้น โดย 75 เปอร์เซ็นต์ ของคนไทยเห็นด้วยกับเรื่องนี้


        “ธีรวุฒิ สุธนะเสรีพร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิกน่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) แสดงความเห็นว่า คะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่เกี่ยวกับความรู้สึกความเหงาและโดดเดี่ยวที่ลดลงนั้นเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเทคโนโลยีทางดิจิทัลที่ให้ผลลัพธ์ในเชิงบวก


        “เราพบว่าทัศนคติต่อการทำงานของผู้คนมีการเปลี่ยนแปลงไป โดยคนไทยจำนวนมากมองว่า การทำงานจากที่บ้านให้ผลลัพธ์ในเชิงบวกได้หลายแง่มุมมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการปรับสมดุลความรับผิดชอบต่อครอบครัว และหน้าที่การงาน แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าชั่วโมงการทำงานยาวนานขึ้นก็ตาม ทั้งนี้จากผลสำรวจดังกล่าว ทำให้เรามองภาพรวมของประเทศไทยได้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อผู้ตอบแบบสอบถามหลายคนรู้สึกว่าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นแม้ว่าต้องทำงานจากที่บ้าน ซึ่งสอดคล้องไปกับวิถีการทำงานของ  ซิกน่า ประเทศไทย ที่ยังคงรักษามาตรฐานในการให้บริการลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม ตลอดจนการตัดสินใจขยายทางเลือกในการทำงานจากที่บ้านให้แก่พนักงานในบางแผนกไปจนถึงสิ้นปี”
 
 

ที่มา : ซิกน่า      
 


 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย