เจาะแนวคิด ระเฑียร ศรีมงคล 10 ปี KTC จากองค์กรคอนเซอร์เวทีฟ ก้าวกระโดดยังไงให้เติบโตยั่งยืนในยุคดิจิทัล

TEXT : กองบรรณาธิการ

 

 

     ในโลกยุคใหม่ที่ทุกอย่างต้องถูกขับเคลื่อนด้วยความเร็ว การยึดหลักทำธุรกิจในรูปแบบเดิมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

     KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หนึ่งในองค์กรธุรกิจที่ยืดหลักการดำเนินธุรกิจแบบคอนเซอร์เวทีฟมาตลอดแบบค่อยก้าวทีละก้าว เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จึงเป็นตัวจุดประกายให้เกิดการคิดใหม่ ทำใหม่ สร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจในรูปแบบใหม่ ปีนี้จึงตั้งเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดด แค่เพียงโปรเจกต์เดียวก็มีมูลค่าสูงกว่าหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดรวมรายได้ของบริษัทในแต่ละปีในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา

     กลยุทธ์อะไรที่เคทีซีนำมาใช้ปรับตนเองจากองค์กรคอนเซอร์เวทีฟ สู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ทิศทางต่อไปในการดำเนินธุรกิจจะออกมาในรูปแบบไหน ลองมาฟังแนวคิดจาก ระเฑียร ศรีมงคล ชายผู้ซึ่งเคยพลิกวิกฤตจากธุรกิจที่เคยขาดทุนนี้ให้กลับมีกำไรขึ้นมาได้กัน ซึ่งในปีที่ผ่านมาก็สามารถทำกำไรนิวไฮได้ถึง 6,251 ล้านบาท สร้างสถิติกำไรสูงสุดต่อเนื่อง

รู้จักตนเอง เชื่อใน Ecosystem

     “ถ้าไม่เจอโควิด-19 เราอาจมีรายได้และทำกำไรได้มากกว่านี้ แล้วเราก็คงไม่ได้คิดอยากโตในรูปแบบนี้”

     ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เกริ่นถึงที่มาของจุดต้นเรื่องให้ฟัง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้แผนการดำเนินธุรกิจของเคทีซีในปีนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

     ซึ่งหากลองวิเคราะห์ดูแล้วการปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลของเคทีซีครั้งนี้แตกต่างจากสถาบันการเงินอื่นๆ ที่เคยทำมา เพราะไม่ใช่การทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มขึ้นมาอย่างเดียว แต่คือ การเลือกสร้าง Ecosystem และเครือข่ายพันธมิตร เพื่อขยายรากฐานธุรกิจออกไปให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการใช้งานได้มากขึ้น

      “ที่ผ่านมาเราอาจเห็นองค์กรและสถาบันการเงินต่างๆ พยายามมุ่งสู่การทำสตาร์ทอัพ และดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่น  แต่เคทีซีเราเป็นคนในโลกเก่า เรายังยืดหลักการทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งก็ต้องมีกำไร เราไม่คุ้นเคยกับการเอาเงินมาเผาเล่น หรือลงทุนล่วงหน้าไปเยอะๆ ก่อนแล้วค่อยมาเก็บเกี่ยวผลผลิตภายหลัง แต่เราก็รู้ว่ามันเป็นเทรนด์ของโลกอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้น เราจึงพยายามหาทางออกเพื่อทำอะไรสักอย่างที่มั่นคงและต้องทำได้ดี ในที่สุดเราก็พบคำตอบว่าเราเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “Ecosystem” เชื่อในความสัมพันธ์ของการอยู่ร่วมกัน

     “ในปีนี้เราจึงตั้งเป้าทำ 2 เรื่องใหญ่ เรื่องแรก คือ เราจะสร้างรอยัลตี้แพลตฟอร์มหรือระบบคะแนนสะสมขึ้นมาเพิ่มอีกหนึ่งตัว ซึ่งทุกคนคงรู้จักกับ KTC Forever ดีอยู่แล้วว่าเรามีจุดแข็งด้านนี้ แต่ปีนี้เราจะสร้าง MAAI By KTC ขึ้นมาเพิ่มในไตรมาสแรกนี้ เพื่อเป็นตัวช่วยสนับสนุนพาร์ตเนอร์ของเราให้สามารถทำการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น โดยเป็นแพลตฟอร์มแบบครบวงจรมีโซลูชั่นตั้งแต่ 1. ระบบบริหารจัดการสมาชิก 2. ระบบบริหารจัดการคะแนน และ 3. ระบบบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ในรูปแบบคูปองอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งเป้าปีแรกนี้ต้องมีพันธมิตรไม่น้อยกว่า 10 ราย และมีสมาชิกถึง 1 ล้านคนให้ได้

     “ส่วนที่สอง คือ การขยายสินเชื่อมีหลักประกัน “เคทีซี พี่เบิ้ม” ให้สูงขึ้นไปอีก โดยจากเดิมเราตั้งเป้าไว้ว่าในปีนี้จะทำให้ได้ 2,200 ล้านบาท แต่หลังจากไปคุยกับบอร์ดบริหารแล้วมองเห็นโอกาสที่สามารถทำได้มากกว่า จึงปักเป้าใหม่ขยับไปที่ 11,500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีปีไหนที่เคทีซีตั้งเป้าถึง 1 หมื่นล้านบาทมาก่อน อย่างปีที่ผ่านมาเราตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่ถึง เพราะเราใช้เอาต์ซอร์สข้างนอก ไม่ได้บริหารเอง ประจวบกับการแพร่ระบาดของโรคโควิดด้วย โดยปีนี้ที่กล้าตั้งเป้าแบบก้าวกระโดดได้ เพราะเราใช้กลยุทธ์เชิงรุกในแต่ละพื้นที่ ผ่านบริการพี่เบิ้ม เดลิเวอรี ให้บริการสินเชื่อถึงหน้าบ้านของลูกค้า รวมไปถึงการผูกไปกับเครือข่ายของธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศกว่า 900 สาขา และกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง โดยจะแบ่งเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียน 80 เปอร์เซ็นต์ และสินเชื่อเช่าซื้อ 20 เปอร์เซ็นต์

     “ปีนี้จึงเป็นปีที่เราจะเติบโตด้วยการขยายฐานลูกค้าออกไป เราเชื่อว่าอีโค่ซิสเท็มที่ตั้งใจสร้างขึ้นมานี้จะเป็นระบบฐานรากที่ดีให้เศรษฐกิจไทยได้ ซึ่งถ้าพาร์ตเนอร์เราดี สังคม เศรษฐกิจ ประเทศก็จะดีขึ้นได้ การทำธุรกิจจะมีอยู่ 2 ทางเลือก คือ อยู่เฉยๆ แล้วแฮปปี้กับกำไรที่เพิ่มขึ้นทุกปี หรืออาจต้องเสี่ยงบ้างในพื้นฐานที่เราคิดว่าทำได้ และให้ผลดีกว่าไม่ว่าลูกค้าหรือพาร์ตเนอร์ของเรา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ กล่าวถึงบทสรุปในข้อแรก

 

คิดแบบ Moonshot กล้าคิด กล้าทำ

     โดยนอกจากการรู้จักตัวเองดี และเลือกวิธีการบาลานซ์ตัวเองปรับให้เข้ากับสิ่งใหม่ได้แล้ว มากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตามกระแส โดยที่ไม่ถนัด อีกสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้เกิดเคทีซีภาพลักษณ์ใหม่ในวันนี้ ก็คือ การยอมปรับ Mindset โดยไม่ยึดติดเพียงกรอบเดิมๆ อย่างเดียวอีกต่อไป ซึ่งอย่างที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคทีซีกล่าวไว้ว่าที่ผ่านมานั้น เขาเลือกที่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบคอนเซอร์เวทีฟ คือ ค่อยๆ ก้าวอย่างมั่นคง แต่ในวันนี้เมื่อมองดูทุกอย่างพร้อม ทั้งทรัพยากรบุคคล และโอกาสที่มีเข้ามา ก็กล้าที่จะกระโดดลงไปในสนามเล่นใหม่อย่างไม่รีรอ

     “10 ปีที่ผ่านมา เราเป็นองค์กรที่คอนเซอร์เวทีฟ คือ ค่อยๆ ก้าวเดินมาตลอด แต่ปีนี้เราจะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เราได้เห็นแล้วว่าภายใต้วิกฤตจากโควิด-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เราสามารถปรับตัวได้ แล้วปรับได้ค่อนข้างดีด้วยในขณะที่หลายคนอาจมีปัญหา แต่เราสามารถทำนิวไฮได้โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา เราสามารถทำได้ถึง 6,251 ล้านบาท เติบโต 17.2 เปอร์เซ็นต์  จึงทำให้เราคิดย้อนได้ว่าจริงๆ แล้วเราควรจะโตได้มากกว่านี้ไหม แล้วมีเหตุผลอะไรถึงจะไม่กล้าทำ ที่ผ่านมาเราโตด้วยความระมัดระวังมาตลอด แต่ตอนนี้เรามีจังหวะแล้ว ทำไมเราไม่คิดแบบ Moonshot ผมว่าถึงเวลาที่เราต้องก้าวกระโดดบ้างแล้ว เพื่อไปในพื้นที่ใหม่ แล้วค่อยไปสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่”

     ซึ่งแนวคิดแบบ Moonshot ที่ผู้บริหารคนสำคัญของเคทีซีได้นำมาปรับใช้เป็นกลยุทธ์การทำธุรกิจรูปแบบใหม่นั้น เป็นคำที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี แห่งสหรัฐอเมริกา ในยุคที่มีการส่งจรวดไปสำรวจดวงจันทร์ในปี 2512 ซึ่งต่อมานักวางแผนกลยุทธ์หรือนักการตลาดในธุรกิจต่างๆ มักนำมาใช้สื่อความหมายถึงการคิดในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ หรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาแบบเดิม ด้วยวิธีการเดิมๆ ได้

     และนี่คือ 2 ปัจจัยหลักที่องค์กรทำรายได้ติด 1 ใน 50 บริษัทของไทย เลือกนำมาใช้พัฒนาปรับปรุงตนเองจากองค์กรคอนเซอร์เวทีฟ สู่การคิดแบบ Moonshot หาประโยชน์จากโอกาสที่มีเข้ามา แต่ขณะเดียวกันยังคงรักษาความเป็นตัวตนของตนเองเอาไว้ได้ เหมือนกับที่ผู้บริหารคนสำคัญของเคทีซีได้กล่าวทิ้งท้ายจากวิกฤติโควิด-19 ที่มาเยือน

 “โลกมีไว้เหยียบจะแบกโลกไว้ทำไม ชีวิตนี้ต้องมองโอกาสบ้าง อย่ามองแต่ปัญหาอย่างเดียว”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย