สูตรลับกลยุทธ์ธุรกิจให้คมสร้างคนในทีมให้เจ๋ง ด้วย Design Thinking x Winning Zone

TEXT : ภัทร เถื่อนศิริ

Main Idea

  • สูตรลับทำให้กลยุทธ์ธุรกิจมีความคม พัฒนาทีมงานให้คิดเชิงวิเคราะห์มากขึ้น ด้วยการใช้กระบวนการ Design Thinking ร่วมกับ Winning Zone

 

  • กระบวนการคิดที่ใช้การทำความเข้าใจปัญหาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยเอาผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และนำเอาความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากคนหลายๆ สายมาสร้างไอเดีย แนวทางการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร

 

 

     ช่วงปีที่ผ่านมาผมเผชิญความท้าทายในการพัฒนาทีมงานให้คิดเชิงวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ได้ดียิ่งขึ้น คิดกลยุทธ์ให้คมขึ้น จึงได้มีการจัด Workshop เรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคของทีมงานว่าติดขัดตรงไหน มีปัญหาอย่างไรในการคิดกลยุทธ์ให้คมยิ่งขึ้น จึงสรุปความคิด นำไปใช้กับลูกค้าแล้วนำมาแชร์ให้ทุกท่านเรียนรู้ไปพร้อมกันครับ

     ความคมของกลยุทธ์นั้นมิได้ลอยมาจากฝากฟ้า หากแต่เกิดจากการลับคมกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งกลยุทธ์นั้นคิดได้มาจากการวิเคราะห์หลายแหล่งข้อมูล ทั้ง SWOT, Ansoff Matrix, Winning Zone, Competitor Landscape, Consumer Insight เป็นต้น แต่กระบวนการพัฒนาลับคมนั้นใช้ข้อมูลข้างต้นประกอบกับกระบวนการ Design Thinking

     กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) คือ กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ให้ถูกจุด ตลอดจนพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือโจทย์ที่ตั้งไว้ เพื่อที่จะหาวิถีทางที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุด การแก้ปัญหาบนพื้นฐานกระบวนการนี้จะเน้นยึดไปที่หลักของผู้ใช้/ผู้บริโภค (User-centered) เป็นหลัก โดยมีเจตนาในการสร้างผลลัพธ์ในอนาคตที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ตลอดจนแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย

     การคิดเชิงออกแบบนั้นต่างจาก “ความคิดสร้างสรรค์” (creativity) คือ Design Thinking จะคำนึงถึงองค์ประกอบ 3 อย่างประกอบกัน คือ การแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และ “คน” การคิดเชิงออกแบบจึงมีอีกชื่อคือ Human centered design ที่คนเป็นศูนย์กลางการแก้ปัญหา โดยเน้นทำความเข้าใจว่าคนต้องการอะไร แทนที่วิธีการแบบเดิมที่มักเริ่มต้นจาก “ปัญหา” หรืออีกนัยยะหนึ่ง Design Thinking คือ “กระบวนการคิดที่ใช้การทำความเข้าใจในปัญหาต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยเอาผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และนำเอาความคิดสร้างสรรค์และมุมมองจากคนหลายๆ สายมา สร้างไอเดีย แนวทางการแก้ไข และนำเอาแนวทางต่างๆ นั้นมาทดสอบและพัฒนา เพื่อให้ได้แนวทางหรือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้และสถานการณ์นั้นๆ ” ใช้งานร่วมกับ Winning Zone ซึ่ง Focus ในคนเช่นกัน กับการเข้าใจลูกค้าและนำข้อมูลมาใช้ไม่หลอกตัวเอง ทำให้กลยุทธ์ของเรานั้นมีความคมมากขึ้น

     โดยสิ่งสำคัญการเพิ่มความคมของกลยุทธ์ Design Thinking x Winning Zone จากประสบการณ์ของผม มีดังนี้ครับ:

⁃ ทำซ้ำๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรนำความคิดแรกไปใช้เลย

⁃ มองในสิ่งที่ลูกค้าต้องการเป็นหลัก เรามีและคู่แข่งไม่มี เป็น Checklist การคัดกรองกลยุทธ์

⁃ จุดอ่อนที่พบบ่อย คือ หลงไปกับความคิดตัวเองว่าดี ไม่ได้เทียบเคียงกับมาตราฐานของตลาด

⁃ ปิงปองไอเดียกับคนมีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจที่เท่ากัน เพื่อลับคม กลบจุดอ่อน พัฒนาจุดแข็งของกลยุทธ์

⁃ ทดสอบให้มาก เรียนรู้จากการลงมือทำ นำข้อมูลมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

⁃ มีวินัยสม่ำเสมอกับการดำเนินการ

     สุดท้ายแนะนำว่าการวางกลยุทธ์ต้องไม่ยึดติดจนเกินไป ต้องพริ้วไหวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและแก้เกมส์สิ่งที่คิดว่าดีแล้วให้ดียิ่งๆขึ้นไป เพราะ ธุรกิจ เป็นสิ่งที่เป็น Dynamic ไม่หยุดนิ่ง แตกต่างจากแผนกลยุทธ์ที่เป็นแผน ณ จุดเวลานั้นๆ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จกับกลยุทธ์ธุรกิจครับ

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย