ผู้นำที่ชนะคน ชนะงาน ด้วย “EQ”



 




เรื่อง กรรณิการ์ สิทธิชัย  
Consulting Partner สลิงชอท กรุ๊ป


    

    “สุขกันเถอะเรา...เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัยคิดร้อนใจไปเปล่า...” 

    เปิดด้วยเพลงที่คุ้นหูกันเป็นอย่างดี เหตุที่นึกถึงเพลงนี้เพราะเทรนด์เรื่องการดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพมาแรงมาก หลายคนหันมาเปลี่ยนการรับประทานอาหารเป็นแบบชีวจิต แบบคลีนฟู้ด (Clean) แบบรอว์ฟู้ด (Raw) หลายคนหันมาออกกำลังกายตามเทรนด์ไม่ว่าจะเป็นการเข้ายิม ต่อยมวย ปีนผา หรือการออกกำลังกายยอดนิยมแบบ T25 แต่ทั้งหมดก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เรามีความสุข มีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งชีวิตงานและชีวิตส่วนตัวได้ หากขาดการดูแล “สุขภาพอารมณ์” ไปด้วยในขณะเดียวกัน

    Daniel Goleman นักจิตวิทยาชื่อดังผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Emotional Intelligence : Why It Can Matter More Than IQ”  ได้เขย่าแวดวงธุรกิจ กระตุ้นให้องค์กรหลายแห่งหันมาสนใจ ด้วยผลงานวิจัยที่บอกว่า ความฉลาดทางสติปัญญา หรือ IQ (Intelligence Quotient) ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ หากแต่เป็นความฉลาดทางอารมณ์ คือ EQ (Emotion Quotient)  หรือในยุคปัจจุบันเรียกว่า EI (Emotional Intelligence) รวมกับทักษะทางเทคนิคในการทำงานต่างหากที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ นอกจากนี้ มีการพิสูจน์แล้วว่าบุคคลยิ่งมีตำแหน่งสูงขึ้นในองค์กร ความสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ยิ่งเพิ่มขึ้นตามความสูงของตำแหน่งไปด้วย เพราะการมีทักษะและความเข้าใจทางอารมณ์ของผู้นำ จะช่วยเป็นตัวขับเคลื่อนความคิดและการตัดสินใจตลอดจนการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น

    ขอยกตัวอย่างอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ สัก 2-3 ท่าน ให้ท่านเห็นภาพว่า EQ สูงหรือต่ำนั้นมีผลอย่างไรต่อผู้นำ-ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ มี EQ ค่อนข้างสูง บุคลิกความเป็นผู้นำโดดเด่นมาก สามารถบังคับบัญชาให้บุคลากรทำงานเป็นทีมได้อย่างดี และประธานาธิบดีบุช (พ่อ) ก็มี EQ ค่อนข้างสูงเช่นกัน โดยมีจุดเด่น คือ เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อบุคคลอื่น สุภาพเรียบร้อย และสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดี ในขณะที่ ประธานาธิบดีนิกสัน แม้มี IQ สูง มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมากในด้านยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ แต่กลับล้มเหลวต้องลาออกจากตำแหน่งจากกรณีอื้อฉาวคดีวอเตอร์เกตด้วยจุดอ่อนสำคัญ คือ มี EQ ค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ มักโกรธ วิตกกังวล และหวาดระแวงบุคคลรอบข้าง

    ในเมืองไทยเอง จากประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉันที่มีโอกาสเข้าไปเก็บข้อมูลของผู้นำ เกือบทุกระดับในองค์กร โดยการรวบรวมข้อมูลแบบ 360 องศา คือ สอบถามทั้งหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง ได้ข้อสังเกตว่า ผู้นำจำนวนมากขาดการดูแลสุขภาพอารมณ์ตนเอง คือ ขาดการควบคุมอารมณ์ มักแสดงสีหน้าท่าทางในแง่ลบ ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว ดุดัน รวมทั้งมักใช้คำพูดทำร้ายจิตใจผู้อื่นอย่างแสบเข้าไปถึงทรวง บางคนแสดงออกรุนแรงจนเป็นที่โจษขานไปทั่ว ลูกน้องเข็ดขยาดขนาดที่หากต้องเข้าไปพบหัวหน้าละก็...เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง หลบได้เป็นหลบ เพราะไม่อยากโดนลูกหลงอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ผู้นำกลุ่มนี้ แม้จะผลักดันงานให้ได้ผล แต่คนมักเป็นทุกข์ค่ะ 

    มีงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า “ผู้ที่มีความเก่งในการทำงาน แต่ล้มเหลวในการทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งล้มเหลวในเรื่องชีวิตของตนเอง” แม้ผู้นำกลุ่มนี้หลายคนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่กลับไม่มีเพื่อนฝูงเลยสักคน อีกทั้งยังได้ของแถมเป็นโรคภัยติดตัวจำพวกความดัน โรคหัวใจ โรคกระเพาะ โรคซึมเศร้า บางงานวิจัยบอกว่า คนที่มักมีอารมณ์เป็นพิษมีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไปอีกด้วย รู้แบบนี้แล้วท่านที่ชอบเหวี่ยงวีนลูกน้องคงเริ่มกังวลกันไม่น้อย 

    ก่อนอื่นมาเช็กกันสักนิดว่าท่านเข้าข่ายผู้นำที่มี EQ สูงหรือต่ำ



 





    หากท่านอยู่ในเกณฑ์ของฝั่งขวาเสียมาก ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะ EQ สามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิตของทุกคน เมื่อใดก็ตามที่นำ EQ มาประยุกต์ใช้เข้ากับความเป็นผู้มีวุฒิภาวะแล้ว บุคคลนั้นจะเป็นผู้ที่มีภาวะแห่งการนำได้อย่างดีเยี่ยม หรือที่เราเรียกว่า “ภาวะผู้นำ”

    Daniel Goleman แบ่งความฉลาดทางอารมณ์ไว้ 4 ด้าน ดิฉันจึงขอนำแบบฝึกหัดเล็กๆ มาฝากให้ลองฝึกพัฒนากันแต่ละด้านดูนะคะ 

ด้านที่ 1 : ความสามารถในการรับรู้ตนเอง (Self-Awareness) 

    ภายใน 3 วินาทีนี้ ขอให้ท่านหาคำจำกัดความของอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ 1...2...3...หมดเวลา! เจอมั้ยคะ? เชื่อมั้ยคะ...มีคนมากกว่า 50% ที่มีความท้าทายในการค้นหา ทั้งนี้เพราะปัจจุบันสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ในการใช้ชีวิต ผลักดันให้เราโฟกัสที่สิ่งรอบตัวมากกว่าตัวเราเอง  

    • ใช้เวลา 2-3 นาทีต่อวันในการเขียนความรู้สึกของท่าน รับรู้อารมณ์นั้นให้ชัดเจนและเชื่อมโยงกับตัวเราให้ได้

    • เมื่อใดที่รู้สึกในแง่ลบ ให้ตั้งชื่ออารมณ์ความรู้สึกนั้น เช่น น้อยใจ อิจฉา โกรธ เมื่อท่านตั้งชื่อได้ ก็จะสามารถปล่อยวางได้ 

ด้านที่ 2 : การจัดการอารมณ์ตนเอง (Self-Management) 

    • หากได้รับสัญญาณจากตัวเองว่าเริ่มโมโหให้หยุดทันที โดยเริ่มเปลี่ยนท่าทางภาษากายและคิดหาเหตุผลว่าสาเหตุที่กำลังโมโหอยู่นี้คืออะไร สมองทำงานเหมือนเครื่องเล่นไม้กระดก อารมณ์และเหตุผลใช้สมองคนละส่วนในการควบคุม อีกทั้งยังทำงานได้ทีละส่วน เมื่อท่านคิดหาเหตุผล สมองส่วนอารมณ์ความรู้สึกก็จะหยุดทำงาน

    • หาโอกาสหยุดพักทุก 90 นาที เพราะสมองต้องการพัก การทำงานมักเน้นใช้แต่สมองซีกซ้าย (คิด วิเคราะห์ คำนวณ เหตุผล) มากกว่า ควรหยุดพักมาใช้สมองซีกขวาบ้างสัก 5-10 นาที พูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน ฟังเพลง เดินไปมองวิวที่หน้าต่าง หากท่านพักบ้าง เมื่อกลับไปใช้สมองซีกซ้ายจะทำให้งานเสร็จได้เร็วกว่าและได้ประสิทธิภาพมากกว่า

 

ด้านที่ 3 : การรับรู้ทางสังคม (Social-Awareness)

• เบาะแสสำคัญในการเข้าใจผู้อื่น คือ ต้องให้ความสำคัญหมั่นสังเกตภาษากายและน้ำเสียง เมื่อท่านเข้าประชุมลองสังเกตสีหน้าท่าทาง และน้ำเสียงที่ลูกน้องใช้ด้วย อย่าเพียงฟังแต่สิ่งที่เขาพูด ความท้าทาย คือ ลองหันมาสังเกตคนที่ไม่ได้พูดดูบ้างสิคะ 

• เมื่อสนทนากับใครอยู่นั้น ให้ใช้ภาษากายแบบเปิด แสดงความสนใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าท่านอย่าง 100% ว่าพร้อมที่จะฟังเขาอย่างเข้าใจจริงๆ 

• ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา จินตนาการดูว่า การตัดสินใจของท่านจะมีผลกระทบกับเขาอย่างไร หากเข้าใจว่า เขาจะรู้สึกอย่างไร ท่านจะตัดสินใจได้ดีขึ้น 


ด้านที่ 4 : การจัดการสัมพันธภาพ (Relationship Management)

• คนทุกคนต้องการรู้สึกเป็นคนสำคัญ จึงควรหมั่นทักทายเอาใจใส่ผู้อื่นอยู่เสมอ

• ในฐานะผู้นำท่านต้องเข้าใจลูกน้องแต่ละคนว่าอะไรคือแรงจูงใจในการทำงานของเขา และนำมาเป็นแรงกระตุ้น เพื่อให้เขาทำงานไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายขององค์กร 

• จงเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะคนไม่ทำตามที่ท่านพูด แต่จะทำตามสิ่งที่ท่านทำ 

    หากผู้นำมี EQ ที่ดี และมีความสุข ก็จะเป็นแบบอย่างให้คนรอบข้าง ต่อมความสุขในองค์กรก็จะเติบโต เกิดวัฒนธรรมที่น่ารื่นรมย์ในการทำงาน พนักงานรักองค์กรและอยากมาทำงาน อยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร...อุเหม่! ชีวิตรื่นรมย์จริงๆ ขอบ๊ายบายด้วยท่อนฮุกเพลงเดิมนะคะ
 “เชิญสำราญร่วมเบิกบานดวงใจ ลืมทุกข์ไปทำให้ใจเริงรื่น...”


•    บทความจากวารสาร K SME Inspired เล่ม 33

www.smethailandclub.com ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อธุรกิจ SME (เอสเอ็มอี)

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย