อยู่กันแบบครอบครัว ดีต่อใจ...หรือภัยเงียบต่อธุรกิจ ทำให้ NETFILX เน้นบริหารธุรกิจแบบทีมกีฬา

TEXT : กองบรรณาธิการ

     “ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว” คำพูดนี้ยังคงใช้ได้ดีกับการทำธุรกิจยุคนี้หรือไม่?

     ทำไมกูรูบางท่านออกมาบอกว่า “การบริหารธุรกิจแบบครอบครัว” นั้นเป็นคำพูดที่อาจทำให้คนฟังดูอบอุ่น แต่ความจริงมันคือรากฐานของความผิดพลาด

     หรือนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หลายๆ องค์กรระดับโลก อาทิ Netflix องค์กรสตรีมมิ่งระดับโลก จึงบอกลาวัฒนธรรมครอบครัว เลือกบริหารธุรกิจแบบ 'ทีมกีฬา' แทน

ทำไมความอบอุ่นแบบ "ครอบครัว"

ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับวัฒนธรรมองค์กร?

     คำว่า "ครอบครัว" มักถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายวัฒนธรรมบรรยากาศองค์กรที่ดูอบอุ่น สนิทสนม และมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เหมือนกับครอบครัวที่ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งถ้ามองผิวเผินอาจจะดูไม่มีอะไร แต่ความเป็นจริงแล้วภายใต้ความอบอุ่นหรือดูแลกันแบบครอบครัวนั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่อาจนำไปสู่ปัญหาด้านมืดได้ดังนี้

ขาดความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียว

     ด้วยบทบาทของครอบครัว พ่อกับแม่มักมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่าลูก ซึ่งถ้าในองค์กรหัวหน้าหรือผู้บริหารมีอำนาจในการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว หรือการตัดสินใจสำคัญๆ อาจถูกตัดสินใจโดยกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้พนักงานคนอื่นๆ ได้มีส่วนร่วม ทำให้พนักงานรู้สึกถูกตัดออกจากกระบวนการตัดสินใจ และขาดความผูกพันกับองค์กร

ขาดความเป็นมืออาชีพ

     ความสัมพันธ์แบบครอบครัวอาจมีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น มีการปกป้องหรือช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานที่ทำผิดพลาด

ขาดการพัฒนา

     การอยู่ร่วมกันเหมือน "ครอบครัว" อาจทำให้บางคนรู้สึกไม่ต้องแข่งขัน ทำให้ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้น

ขาดคนเก่งจากภายนอกมาร่วมงาน

     แน่นอนว่าการส่งต่อโอกาสตำแหน่งสำคัญย่อมให้โอกาสสมาชิกในครอบครัวมากกว่าคนภายนอก อาจนำไปสู่การขาดประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้บุคลากรที่มีความสามารถจากภายนอกไม่ต้องการเข้าร่วมองค์กร

     เมื่อทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ว่าจะทำงานดีหรือไม่ดี ก็อาจทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและความสามารถในการแข่งขันขององค์กร

เบื้องหลังแนวคิด Netflix เลือกบริหารธุรกิจแบบ "ทีมกีฬา"

     จุดเริ่มต้นมาจากปรัชญาของ Reed Hastings ซีอีโอของ Netflix ที่เชื่อว่าเป้าหมายขององค์กรไม่ควรเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัว แต่เขาเปรียบองค์กรเป็นทีมกีฬา โดยสมาชิกทุกคนต้องทุ่มเทความสามารถและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือพาองค์กรคว้าชัยชนะ

     แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นในเรื่องต่อไปนี้

ทีมงานต้องเปี่ยมด้วยคนเก่ง

     จุดแข็งอย่างหนึ่งของ Netflix คือ การสรรหาผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง พนักงานที่ไม่เก่งหรือไม่พัฒนาจะถูกปลดออก ทั้งนี้ผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาแล้วใช่ว่าจะลอยตัว ตรงกันข้ามคนที่เข้ามาในออฟฟิศของ Netflix แล้วจำเป็นจะต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่หยุดพัฒนา พวกเขาจะเป็นแค่คนที่ “เคย” เก่ง

     เปรียบได้กับนักกีฬาที่ถูกซื้อตัวมาจนยึดตำแหน่งผู้เล่นตัวจริง แต่เมื่อฟอร์มการเล่นตก โค้ชก็พร้อมที่จะถอดออกจากเกมส์เปลี่ยนผู้เล่นใหม่ที่พร้อมจะสร้างผลลัพธ์ให้ได้มากกว่าแทน หรือถ้าทีมมีแผนการเล่นใหม่ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้เล่นคนเดิม พวกเขาก็จะต้องพร้อมที่จะถูกแทนที่โดยผู้เล่นที่มีศักยภาพเหมาะสมกับแผนใหม่นี้มากกว่า

บทบาทที่ชัดเจน

     เพื่อให้ทีมได้รับชัยชนะ Netflix ให้ความสำคัญกับบทบาทของทีมงานแต่ละคนที่ชัดเจน เช่น ในฟุตบอลจะมีผู้ทำหน้าที่ตำแหน่งกองหน้า กองกลาง กองหลัง ผู้รักษาประตู ต่างก็มีหน้าที่ในการเล่นที่ต้องทำให้สำเร็จและสอดคล้องกันซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากคนในองค์กรที่จะต้องเล่นไปตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยเช่นกัน

การประเมินผลอย่างตรงไปตรงมา

     Netflix ใช้ระบบประเมินผลแบบ 360 องศา พนักงานทุกคนจะได้รับฟีดแบ็กจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า และตัวพนักงานเอง ช่วยให้พวกเขาเข้าใจจุดแข็ง จุดอ่อน และจุดที่ต้องพัฒนา

ความรับผิดชอบ

     Netflix มอบความอิสระและความรับผิดชอบให้กับพนักงาน พนักงานแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อผลงานของตัวเองและของทีม

ข้อดีของการบริหารแบบทีมกีฬา

     ด้วยแนวทางนี้ส่งผลให้ Netflix ประสบความสำเร็จอย่างมากบริษัทมีฐานสมาชิกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างผลกำไรมหาศาล เป็นองค์กรที่สามารถดึงดูดผู้ที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่น และต้องการทำงานกับคนเก่งๆ ให้อยากมาร่วมงานด้วย

สรุป

     แนวคิด "ทีมกีฬา" ของ Netflix แสดงให้เห็นว่า การบริหารองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กรอบเดิมๆ การกล้าที่จะแหวกขนบ ท้าทายความคิดแบบเดิม และเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรสิ่งสำคัญคือ องค์กรต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน สื่อสารกับพนักงานอย่างตรงไปตรงมา และให้ความสำคัญกับผลลัพธ์

     แต่การบริหารองค์กรแบบ "ทีมกีฬา" อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกองค์กร แต่เป็นแนวคิดที่น่าสนใจองค์กรอื่นๆ ศึกษาและนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตัวเอง และการบริหารองค์กรก็ไม่ได้มีแค่ 2 แนวทางขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละองค์กร

ที่มา

https://hbr.org/2014/06/your-company-is-not-a-family

https://hbr.org/2021/10/the-toxic-effects-of-branding-your-workplace-a-family?fbclid=IwAR1LQvZyfdwZo9yzO3seL6g8igdAzpNCc6QNYamthQMGL-jN4_JkvxY9nSE

https://www.forbes.com/sites/deniselyohn/2019/11/05/stop-saying-your-company-is-like-a-family/

https://www.fastcompany.com/90647846/we-need-to-stop-referring-to-work-as-family-heres-why

https://www.theatlantic.com/family/archive/2022/02/work-actually-is-like-a-family/622813/

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย