ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินส่งออกของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แต่เป็นการฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาด ทำให้อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 ต่อปี ส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจไทย ทำให้อาจโตได้เพียงร้อยละ 3.1 ต่อปี
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินส่งออกของไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แต่เป็นการฟื้นตัวที่ช้ากว่าที่คาด ทำให้อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 ต่อปี ส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจไทย ทำให้อาจโตได้เพียงร้อยละ 3.1 ต่อปี
สาเหตุหลักที่ส่งผลให้การส่งออกไทยขยายตัวได้น้อยกว่าที่เคยประมาณการไว้ (เดิมคาดขยายตัวร้อยละ 3.5) มาจากการส่งออกในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่หดตัวลงมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่ฟื้นตัวจากไตรมาส 2 โดยเฉพาะสหภาพยุโรป และจีน ที่หลายฝ่ายเคยมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลง สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมที่กลับมาขยายตัวอีกครั้ง
โดยตัวเลขเบื้องต้นของสหภาพยุโรปเดือนกันยายนอยู่ที่ 51.1 จากจุดต่ำสุดในปีนี้ที่ระดับ 46.7 (เมษายน) และเครื่องชี้ดังกล่าวในจีนฟื้นตัวมาอยู่ที่ 51.2 จากระดับต่ำสุดในปีนี้ที่ 47.7 (กรกฎาคม) ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแต่เปราะบาง ซึ่งตัวเลขส่งออกล่าสุดในเดือนสิงหาคมที่กระทรวงพาณิชย์แถลง แสดงให้เห็นถึงมูลค่าการส่งออกของไทยที่กลับมาขยายตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีได้ คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.1 ต่อปี เป็นการขยายตัวครั้งแรก หลังจากหดตัวถึงสามเดือนติดต่อกัน เป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ยากที่การส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี จะเติบโตได้อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ในช่วงร้อยละ 4 - 7 ต่อปี นอกจากนี้ ยังมองว่าใน 4 เดือนที่เหลือ การส่งออกของไทยจะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งจะทำให้การส่งออกไทยในปี 2556 นี้ อาจขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2 ต่อปี เท่านั้น
เมื่อพิจารณาถึงการที่เครื่องยนต์ส่งออกยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกประมาณร้อยละ 57 ของ GDP เราจึงไม่สามารถวาดฝันให้การส่งออกช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกได้ อีกทั้งเมื่อดูถึงองค์ประกอบด้านอื่นที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักมาตั้งแต่ปีก่อน โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนได้ส่งสัญญาณชะลอลง ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก ทั้งการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนที่หมดแรงส่งจากโครงการรถคันแรก เพราะขณะนี้ได้มีการส่งมอบรถไปแล้วกว่าร้อยละ 87 ของจำนวนรถในโครงการ 1.25 ล้านคัน และมีโอกาสที่ผู้จองจะยกเลิกการจองราวร้อยละ 10 แม้ว่าค่ายรถต่างๆ จะออกแคมเปญดึงดูดลูกค้าเพื่อลดภาระรถค้างสต็อกก็ตาม และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทน ส่อเค้าชะลอลงเช่นกัน จากความกังวลในเรื่องค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นไป ตามการปรับขึ้นราคาแอลพีจีหรือก๊าซหุงต้มทยอยเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัมเป็นเวลา 1 ปี ปรับขึ้นค่าทางด่วน 5-10 บาท และปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (FT) อีก 7.08 สตางค์ต่อหน่วย อีกทั้งแนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งสูงขึ้นต่อ เนื่องจากร้อยละ 60 ของ GDP ในปี 2554 จนปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 75 ของ GDP
ในด้านการลงทุนภาคเอกชน มีทิศทางแผ่วลงเช่นกันสะท้อนจากการนำเข้าสินค้าทุนยังคงหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ความหวังที่จะเห็นการลงทุนภาครัฐ เข้ามาเป็นตัวช่วยรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ ก็มีความเป็นไปได้น้อย ทั้งโครงการบริหารจัดการน้ำ ที่ติดปัญหาในเรื่องคำสั่งศาลปกครอง นำมาซึ่งยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ทำให้อย่างเร็วสุดจะเริ่มเซ็นสัญญาก่อสร้างได้ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ หรือล่าช้าไปจนถึงปีหน้า ฝั่งการลงทุนเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง 2 ล้านล้านบาท ล่าสุดได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว แต่คาดว่าจะยังไม่เห็นการเบิกจ่ายได้ทันภายในปีนี้ ซึ่งจากแรงหนุนของปัจจัยเหล่านี้ที่ถูกลดทอนไป ดังนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2.1 และ ทั้งปี 2556 จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ในปีที่ผ่านมา