ธปท.เผยทิศทางสินเชื่อปีหน้าดีขึ้น คาดว่าทั้งสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งเริ่มเห็นสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายกลางและเอสเอ็มอีมากขึ้น
ธปท.เผยทิศทางสินเชื่อปีหน้าดีขึ้น คาดว่าทั้งสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้น ทั้งเริ่มเห็นสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายกลางและเอสเอ็มอีมากขึ้น
นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การขยายตัวของสินเชื่อมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่าในไตรมาสแรกของปีหน้าจะ เห็นภาพที่ชัดเจน และทำให้ภาพรวม สินเชื่อในปีหน้าขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดในเดือน ต.ค.สินเชื่อก็ขยายตัวดีขึ้นเพิ่มเป็น 5.4% จากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 5.2% ถือเป็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับ หลายเดือนก่อนหน้านี้ที่สินเชื่อมีการ ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ เริ่มเห็นเอกชนเพิ่มเข้ามายื่นขอสินเชื่อ ในปีหน้าคาดว่าทั้งสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้น เริ่มเห็นสถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายกลางและเอสเอ็มอีมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่สินเชื่อไม่ได้ขยายตัวมากนักหากดูสภาพคล่องระบบก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ไม่ตึงตัวเหมือนเมื่อตอนต้นปี ในระยะข้างหน้าสถาบันการเงินต้องหาเงินฝากมากขึ้น
อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินต้องติดตามดูหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจชะลอในช่วงที่ผ่านมาด้วย ซึ่ง ธปท.ก็ได้ประสานเตือนให้สถาบันการเงินมีการดูแลเอ็นพีแอลและดูแลลูกค้าทุกกลุ่มที่มีโอกาสจะเป็นเอ็นพีแอลมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอี ให้เข้าสู่ขบวนการปรับโครงสร้างหนี้และดูแลลูกหนี้ใกล้ชิดขึ้น
"ถึงเอ็นพีแอลจะสูงขึ้น แต่แบงก์ก็ยังปล่อยสินเชื่อมาตลอด เอ็นพีแอลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นอีกเรื่องที่สถาบันการเงินต้องแก้ไข โดยเฉพาะลูกหนี้บางกลุ่มที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอลก็ต้องพยายามช่วยกันดูแลไม่ให้เขาแย่ลง" นายรณดล กล่าว
นายรณดล กล่าวว่า แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่เริ่มปรับตัวขึ้น บ้าง แต่ในอนาคตธนาคารพาณิชย์จะปล่อยกู้รายใหญ่ได้ลดลง เนื่องจาก รายใหญ่มีทางเลือกในการระดมทุน มากขึ้น เช่น การออกตราสารหนี้ ทำให้ธนาคารต้องปรับสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายกลางและเอสเอ็มอีให้มากขึ้นมาแทน และธนาคารต้องหันไปหารายได้จากค่าธรรมเนียมมาทดแทน
ที่มา โพสต์ทูเดย์ (www.posttoday.com)
