Knowledge Worker คือใคร?



 เรื่อง : เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว 
   คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
   kiatanantha.lou@dpu.ac.th



“ธรรมชาติของคนที่ต้องการก้าวหน้าคือคนที่กระหายความรู้” 
เลโอนาร์โด ดา วินชี


    Knowledge Worker เป็นคำที่ปีเตอร์ เอฟ ดรักเกอร์ ปรมาจารย์ทางด้านการบริหารจัดการเป็นผู้บัญญัติขึ้นในปี พ.ศ.2522 มีความหมายว่า “คนที่ทำงานโดยใช้สมองมากกว่าใช้แรง” แต่หลังจากนั้นมาปีเตอร์เองก็ไม่ได้ใช้คำนี้บ่อยนัก เพราะเมื่อ 30 กว่าปีก่อนเทคโนโลยีสารสนเทศและการติดต่อสื่อสารยังอยู่ในระยะตั้งไข่ เลยทำให้คำ คำนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร 


    เมื่อกระแสของการจัดการความรู้เริ่มเฟื่องฟูขึ้นมาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา คำว่า Knowledge Worker ก็ได้รับการปัดฝุ่นนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง เพื่อใช้เรียกบุคลากรของบริษัทที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับ การส่ง และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสาร 


    เนื่องจากความไม่ชัดเจนของคำจำกัดความ ประกอบกับการที่เป็นคำใหม่ ไม่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลายทั้งในแวดวงวิชาการและวงการธุรกิจมาก่อน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง Knowledge Worker กับบุคลากรกลุ่มอื่นขององค์กร


    คนทั่วไปมักเข้าใจว่า Knowledge Worker คือ ผู้ที่ทำงานโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตสินค้าและบริการ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างกว้างขวาง เป็นผู้มีวุฒิการศึกษาที่สูง และมีความสามารถในการคิดการวิเคราะห์สูงกว่าคนทั่วไป


    ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า การจัดการความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อองค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือมีลักษณะงานที่ซับซ้อนเท่านั้น องค์กรขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้


    นอกจากนี้แล้ว ในองค์กรส่วนใหญ่ การจัดลำดับความสำคัญของบุคลากรมักจะใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นเกณฑ์ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าแสดงถึงความสำคัญที่มากกว่า จนกลายเป็นความเชื่อว่า คนเหล่านี้มีความรู้มากกว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งรองลงมา ภาระหน้าที่ในการแก้ปัญหาหรือรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ จึงตกเป็นของคนกลุ่มนี้ บุคลากรที่เหลือในองค์กรมีหน้าที่ทำตามแผนการที่พวกเขากำหนดขึ้นมาก็พอแล้ว


     เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เรามาลองเปรียบเทียบพนักงานสองคนในบริษัทรับ-ส่งสินค้าทางอากาศแห่งหนึ่ง คนแรกเป็นวิศวกรผู้มีหน้าที่ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งสินค้าภายในประเทศ คนที่สองเป็นพนักงานรับ-ส่งสินค้าที่ต้องไปรับสินค้าจากลูกค้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัทเพื่อทำการจัดส่งไปยังจุดหมายต่อไป


    หากมองโดยผิวเผินแล้ว เราอาจคิดว่า งานที่วิศวกรทำเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ความชำนาญและเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูง ดังนั้น เขาจึงน่าจะเป็น Knowledge Worker ส่วนงานของพนักงานรับ-ส่งสินค้าคงเป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่ง เพราะงานที่เขารับผิดชอบเป็นงานประจำใครก็สามารถทำได้ ไม่ต้องมีความรู้ความชำนาญพิเศษ     


    สมมุติว่าบริษัทกำลังประสบปัญหา สินค้าประเภทผักและผลไม้ที่ไปส่งยังที่หมายต่างๆ เสียหายเป็นจำนวนมาก และความเสียหายเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนลูกค้าสำคัญหลายราย เปลี่ยนไปใช้บริการของบริษัทคู่แข่ง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานบริษัทคงต้องสูญเสียลูกค้ารายสำคัญไปจนหมด


    เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บริษัทได้ตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อสืบหาสาเหตุและวิธีแก้ไข โดยคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในด้านต่างๆ ของบริษัท ซึ่งรวมไปถึงวิศวกรการบินในตัวอย่างของเราด้วย


    หลังจากทำการศึกษากันอยู่ระยะหนึ่ง ทีมงานได้พบสาเหตุว่า เป็นเพราะห้องสัมภาระของเครื่องบินมีความชื้นสูง ทำให้สินค้าเน่าเสียเร็วกว่าปกติ


    ผู้บริหารได้สั่งให้ติดตั้งเครื่องมือควบคุมความชื้นบนเครื่องบินทุกลำที่ใช้บรรทุกผักผลไม้ สิ้นเปลืองงบประมาณไปหลายล้านบาท และส่งผลต่อการให้บริการของบริษัท เพราะต้องทยอยนำเครื่องบินไปติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว


     หลังจากได้แก้ปัญหาดังกล่าวไปได้ระยะหนึ่ง ทางบริษัทพบว่า ต้นตอของปัญหาความชื้น เกิดจากการที่ลูกค้าผู้ใช้บริการบางรายไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการบรรจุหีบห่อที่เหมาะสม จึงใช้พลาสติกที่ไม่สามารถกันความชื้นได้มาห่อผักผลไม้ ในระหว่างการขนส่ง ผักผลไม้บางชนิดมีการคายน้ำออกมา จนทำให้ความชื้นในตู้สัมภาระสูงขึ้น ส่งผลให้สินค้าเสียหายในที่สุด


    ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่พนักงานรับ-ส่งสินค้าทุกคนทราบกันดี พวกเขาเคยเสนอปัญหาและวิธีการแก้ไขไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยการบอกข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้วัสดุแก่ลูกค้าอย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นพลาสติกที่สามารถป้องกันความชื้นได้ ซึ่งวัสดุเหล่านี้หาได้ไม่ยากและราคาก็ไม่แตกต่างจากพลาสติกแบบเดิมมากนัก แต่ข้อเสนอนี้กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากผู้บริหารเท่าที่ควร เนื่องจากผู้บริหารคิดว่า พนักงานเหล่านี้มิได้เป็นผู้มีความรู้มากนัก หากผู้บริหารให้ความสำคัญกับ “ความรู้” ของพนักงานเหล่านี้เสียตั้งแต่ต้น ปัญหาดังกล่าวก็คงไม่เกิดขึ้น  


    จะเห็นได้ว่า การใช้หลักเกณฑ์ด้านตำแหน่งหน้าที่มาแบ่งแยกว่าใครเป็น Knowledge Worker ทำให้มีคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มีบทบาทในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรู้ เป็นการละเลยบทบาทของบุคคลอื่นที่สามารถมีส่วนในการแก้ปัญหาของบริษัทนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก เพราะในสถานการณ์ที่ต่างกัน ย่อมต้องการความรู้ที่ต่างกันออกไป จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนกลุ่มเดียวจะมีความรู้เพียงพอสำหรับทุกสถานการณ์


    ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของทุกคน จึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกคนต่างก็เป็น Knowledge Worker ด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ประเภทและขอบเขตของความรู้ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไปตามภูมิหลังและความสนใจเฉพาะทาง


     โลกทัศน์ของการบริหารจัดการที่มองว่า บุคลากรเป็นเพียง “ทรัพยากร” (Resource) ที่ต้องนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็โดยการกำกับควบคุมอย่างใกล้ชิด มีการระบุขอบเขตหน้าที่ที่แต่ละคนต้องกระทำอย่างชัดเจน โดยลืมไปว่า ยิ่งกำกับควบคุมมากเท่าใด ก็จะทำให้บุคลากรขาดแรงจูงใจที่จะนำเอาความรู้ของตนมาใช้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ตนทำสิ่งที่แตกต่างไปจากที่ถูกกำหนดไว้ ก็มีแต่จะส่งผลในด้านลบต่อตนเอง บุคลากรของบริษัทจึงถูกจำกัดให้เป็นเพียง “Worker”


    ในโลกทัศน์ใหม่นั้น บุคลากรเป็นเจ้าของ “ขุมความรู้” (Knowledge Repository) ที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่และการพัฒนาขององค์กรซึ่งองค์กรจะได้ประโยชน์จากความรู้เหล่านี้ก็ต่อเมื่อบุคลากรเต็มใจที่จะนำออกมาใช้ 


    ดังนั้น หัวใจของการบริหารจัดการก็คือการบริหารจัดการความรู้ที่มีอยู่ในตัวของบุคลากรเหล่านี้ เพื่อให้แต่ละคนนำเอาขุมความรู้ออกมาใช้ในงานที่ตนทำโดยสมัครใจ มีการพัฒนาความรู้เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เสาะหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตลอดจนถึงการส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์จากความรู้ของสมาชิกกลุ่มต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างเหมาะสม 


    หากทำได้ดังนี้แล้ว บทบาทของบุคลากรก็จะมิใช่ผู้ทำงาน (Worker) อีกต่อไป แต่เป็นผู้ใช้ความรู้ในการทำงาน (Knowledge Worker) องค์กรของเราก็จะกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ไปโดยปริยาย


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี


    



    
    
    

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร