พูดอย่างไร ให้พนักงานยอมเปิดใจ

 

เรื่อง :  เจษฎา ปุรินทวรกุล

    เชื่อเถอะ ไม่มีพนักงานคนไหนชอบถูกสอนในที่ทำงานหรอก แต่ในฐานะผู้นำ คุณจำเป็นต้องสื่อสารกับพนักงานในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขับเคลื่อนและทิศทางกลยุทธ์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการประชุมเพื่อวางแผนให้บริษัทไปถึงเป้าหมาย ซึ่งสิ่งสำคัญคือวิธีการพูด ว่าจะพูดอย่างไรให้พนักงานฟังแล้วรู้สึกมีพลังและกระตือรือร้นขึ้นมา และนี่คือวิธีของ Jim McCann ผู้ก่อตั้งและ CEO ของเว็บไซต์ 1-800-Flowers.com ที่มักใช้พูดกับพนักงานเพื่อสร้างความกระตือรือร้นมากกว่าความห่อเหี่ยวหัวใจเมื่อได้ฟัง

1. ใช้อารมณ์ขัน    

    ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กหรือใหญ่ เวลาผู้นำกับพนักงานต้องคุยกันทีไร ย่อมมีเรื่องของความตึงเครียดและออร่าความห่างเหินต่อกันรายล้อมอยู่เสมอ พนักงานบางคนเกร็งจนถึงกับพูดอะไรไม่ค่อยออกเลยทีเดียวเพื่อลดความเหินห่างกับพนักงาน การใช้อารมณ์ขันหรือเรื่องตลกในการพูดคุย จะช่วยลดระยะห่างกับพนักงานได้มากขึ้น อย่างครั้งหนึ่ง Jim ได้ไปพบกับพนักงานใหม่ ก็เลยเริ่มต้นพูดกับเขาแบบไม่ถือตัว คุยกันอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับลองออกเสียงคำว่า “New York” เป็น “New Yawk” ปรากฏว่าพนักงานใหม่คนนั้นขำ และเห็นว่าเขาสามารถเข้าหาได้ไม่ยาก

2. ถามคำถามปลายเปิด

    อย่าตั้งคำถามแล้วให้เขาตอบ a b c แต่ลองถามคำถามกับเขาว่า “ลองบอกหน่อยสิว่าคุณมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ...อย่างไร” จากนั้นเงียบ แล้วรอฟังคำตอบ มันเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานใหม่ ยกตัวอย่างเช่นคุณถามเขาเกี่ยวกับเรื่องไอเดียหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถพูดคุยกับเขาได้มากกว่า 1-2 ประโยคแน่นอน นอกจากนั้นยังเข้าถึงความรู้ ความสามารถและเรื่องราวที่เขาถนัดกับไม่ถนัดได้ด้วย ประเด็นสำคัญของการตั้งคำถามปลายเปิดก็คือ ตั้งคำถามให้กว้างเข้าไว้ เพื่อให้พนักงานสามารถตอบได้หลากหลายหรือต่อยอดบทสนทนาต่อไปได้ จากนั้นรอแล้วตั้งใจฟัง ไม่ยากเลยใช่ไหม ?

3. นำผู้อื่นเข้ามาในวงสนทนา

    การที่หัวหน้าคุยกับลูกน้อง ความรู้สึกของหัวหน้าจะเหมือนเรื่องปกติที่คนธรรมดา 2 คนคุยกัน แต่ในความรู้สึกของลูกน้องจะรู้สึกเหมือนโดนคุมตัวไปสอบปากคำอะไรประมาณนั้น แม้ว่าเราจะบอกว่าคุยกันเพื่อขอไอเดียเฉยๆ แต่ความรู้สึกเกร็งเมื่ออยู่ต่อหน้าบอสแบบสองต่อสองก็ใช่ว่าจะหายไปได้ง่ายๆ

    วิธีแก้ปัญหาก็คือการเพิ่มจำนวนผู้ร่วมสนทนา จากเดิมที่หัวหน้ากับลูกน้องคุยกันเพียง 2 คน ให้ลองเพิ่มใครเข้ามาอีกสักคน โดยให้เหตุผลว่าต้องการฟังความคิดเห็นหลายๆ คนเพื่อประกอบการตัดสินใจ ซึ่งใครสักคนที่ว่าอาจเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่า น้อยกว่า หรือเพื่อนร่วมงานอีกคนก็ได้ทั้งนั้น วิธีนี้ค่อนข้างมีประโยชน์มาก เพราะมันทำให้เราได้ยินเสียงของพนักงานที่เริ่มนำเสนอไอเดียต่างๆ ที่เขามีออกมาเรื่อยๆ  

4. ปล่อยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผ่านไปบ้าง   

    ถ้าคุณเป็นคนคนหนึ่ง ที่เริ่มสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง รู้รายละเอียดขั้นตอนต่างๆ และพร้อมที่จะถ่ายทอดทั้งคำแนะนำและความเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างให้กับพนักงานทุกคนแล้วละก็ เรื่องนี้ผมแนะนำว่า เราไม่จำเป็นต้องส่งความคิดทุกอย่างไปยังพนักงานก็ได้ หากมันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงก็ปล่อยมันไปเถอะ

    ครั้งหนึ่ง Jim เคยเข้าไปในร้านดอกไม้ของบริษัท และพบว่าผู้จัดการร้านไม่ได้ใส่ถุงพลาสติกเพื่อรองถังขยะเอาไว้ จากประสบการณ์ของเขา รู้ดีว่าการใส่ถุงพลาสติกรองถังขยะมันช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้นขนาดไหน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเอาความคิดทุกอย่างในหัวไปยัดเยียดให้กับเขา เขาอาจมีไอเดียหรือเหตุผลส่วนตัวของเขาก็ได้ อีกอย่าง เรื่องบางเรื่องพูดไปก็มีแต่จะทำให้บรรยายกาศการทำงานอึมครึมเสียเปล่าๆ

    การสนทนาระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน พนักงานจากแผนกต่างๆ และหัวหน้ากับพนักงานใหม่ มักจะเป็นแหล่งกำเนิดความคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ ในฐานะที่คุณเป็นผู้นำ หน้าที่ของคุณคือ ทำให้การสนทนาเหล่านั้นเริ่มต้นขึ้นและทำให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าถามว่ามันยากไหม ต้องบอกว่าคุณมีโอกาสทำให้มันเกิดขึ้นได้ทุกครั้งที่สนทนากับพนักงานนั่นแหละ


create by smethailandclub.com

 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย