เหนื่อยใจก็ไหวอยู่! ภารกิจกอบกู้ใจพนักงาน ช่วยองค์กรก้าวข้ามวิกฤต

TEXT : รุจรดา วัฒนาโกศัย

 

 

Main Idea
 
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงาน บางคนต้องกักตัวอยู่บ้าน และ Work from home ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตเหมือนที่เคยเป็น ทำให้เหล่าพนักงานเกิดความกังวลและเครียดจนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
 
  • ผู้ประกอบการและหัวหน้างานมีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้สุขภาพจิตของเหล่าพนักงานดีขึ้นได้ ด้วยการสื่อสารและใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น
 




     การระบาดของ Covid-19 นอกจากจะเป็นวิกฤตทางด้านสุขภาพกายแล้ว ยังก่อให้เกิดวิกฤตสุขภาพจิตอีกด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตอย่างกะทันหัน บางคนต้องกักตัวและทำงานอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตในแบบที่เคยเป็น Qualtrics และ SAP ทำการสำรวจพนักงาน 2,700 คนใน 10 อุตสาหกรรมทั่วโลก พบว่านับตั้งแต่มีการระบาดและการล็อกดาวน์เมืองในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ที่ผ่านมา ผู้คนถึง 75 เปอร์เซ็นต์รู้สึกโดดเดี่ยวทางสังคมมากขึ้น 67 เปอร์เซ็นต์ เครียดมากขึ้น  อีก 57 เปอร์เซ็นต์รู้สึกวิตกกังวล และมีคนถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ที่รู้สึกอ่อนล้าทางอารมณ์มากขึ้น แน่นอนว่าปัญหาสุขภาพใจเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการทำงานของเหล่าพนักงานอย่างเลี่ยงไม่ได้
               

     เรื่องนี้มีทางออก ถ้าได้รู้จักกับ 5 ขั้นตอน ที่ผู้ประกอบการทำได้เพื่อกอบกู้สภาพจิตใจของเหล่าพนักงานในองค์กร
 



 
  1. เปิดประตู

     ไม่ได้หมายถึงการเปิดประตูบ้านหรือประตูออฟฟิศ แต่เรากำลังหมายถึงประตูใจต่างหาก โดยพนักงานเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า บริษัทไม่ถามพวกเขาเลยว่า กำลังทำอะไรอยู่ หรือ ยังโอเคอยู่ไหม หลายองค์กรให้ความสำคัญกับการเคารพความเป็นส่วนตัว แต่จากสถิติแล้วพบว่า พนักงานจะดีใจมากกว่าถ้าหัวหน้างานใส่ใจถามถึงสุขภาพจิตของพวกเขา ดังนั้น คำถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” ก็คือการเปิดประตูการสนทนาให้พนักงานได้เปิดใจบอกเล่าความเครียดหรือความกังวล ซึ่งผลการสำรวจพบว่า พนักงานยินดีที่จะเปิดใจพูดคุยเรื่องพวกนี้กับหัวหน้างานและพนักงานมากกว่าจะคุยกับฝ่ายบุคคล แต่ถ้าพนักงานคนไหนไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยเรื่องสุขภาพจิต สุขภาพใจก็ไม่ว่ากัน เราเปิดทางให้เขาแล้วนี่นา
 



 
  1. แสดงออกว่ายินดีรับฟัง

     สำหรับพนักงานที่อยากพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิต หัวหน้างานจะต้องฝึกการรับฟังพวกเขาด้วย โดยไม่ต้องพยายามแก้ไขทุกอย่าง เพียงแค่รับฟังและทำความเข้าใจ และอย่ากลัวที่จะเปิดใจตัวเอง เพราะการฟังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างความไว้วางใจ โดยจากข้อมูลพบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ของพนักงานทุกระดับในบริษัทมีสุขภาพใจที่แย่ลง นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้จัดการ หัวหน้างาน หรือพนักงานก็ตามมีแนวโน้มที่จะทุกข์หรือเครียดได้เหมือนกัน ยิ่งพวกเขาได้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวเร็วแค่ไหน ก็เป็นการดีกว่าที่เราจะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 



 
  1. สื่อสารกันสม่ำเสมอ

     ไม่ใช่ว่าได้พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพใจแล้วจะจบลงแค่นั้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้คนจัดการกับจิตใจได้ดีขึ้นนั่นคือการให้ความรู้สึกมั่นคง  โดยคนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า ต้องการการสื่อสารอย่างน้อยทุกสัปดาห์จากองค์กร มี 29 เปอร์เซ็นต์ที่ชอบให้มีการสื่อสารกันทุกวัน ซึ่งการสื่อสารเกี่ยวกับสุขภาพจิตในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการโทรศัพท์จากผู้จัดการหรือหัวหน้างานโดยตรง การสื่อสารอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้พนักงานรู้สึกว่าเขายังมีคนที่คอยสนับสนุนอยู่
 



 
  1. รักษาความสัมพันธ์ของคนในทีม

     ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้จัดการหรือหัวหน้างานเท่านั้นที่จะต้องดูแลพนักงาน แต่คนในทีมก็ต้องดูแลหัวหน้างานด้วยเช่นกัน โดยองค์กรควรทำแบบสำรวจการทำงานเป็นประจำเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมว่าแต่ละทีมแต่ละแผนกเป็นอย่างไร พวกเขากำลังรู้สึกอย่างไร


     จากผลสำรวจพบว่าพนักงานเกือบ 1 ใน 3 บอกว่า ทีมของพวกเขาไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันนอกเหนือจากเรื่องงานเลยในตอนที่ทำงานที่บ้าน (Work from Home) ทำให้สุขภาพใจแย่ลง เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าเมื่อคนกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้คุยเล่นกับเพื่อนร่วมงานทำให้ไม่มีพลังงานในการทำงานหรือจุดประกายความคิดและความร่วมมือใหม่ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ลองคุยเล่นกันผ่านโลกออนไลน์ในช่วงสุดสัปดาห์ หรือกินอาหารกลางวันด้วยกันผ่านหน้าจอ แชร์เรื่องราวต่างๆ และรักษาความสัมพันธ์ไว้สักหน่อย จะทำให้เราได้สำรวจจิตใจของเพื่อนร่วมทีมและช่วยเขาแก้ปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
 



 
  1. สนับสนุนทรัพยากรและแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิต

     ปิดท้ายกับการสร้างความชัดเจนว่าองค์กรหรือบริษัทใส่ใจด้านสุขภาพจิตของพนักงานทุกคนด้วยการสนับสนุนข้อมูลและทรัพยากรที่เอื้อต่อสุขภาพจิตที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสุขภาพจิตหรือเบอร์โทรของนักจิตบำบัด พนักงานบางคนต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านั้น แต่บางคนก็แค่ต้องการรู้ว่าบริษัทสนับสนุนเรื่องพวกนี้ให้พวกเขามั่นใจได้ว่าเมื่อไรที่เขาต้องการก็สามารถไปใช้ได้จะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและความเครียดได้
 

     ผู้ประกอบการรายใดกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤต และอยากรักษาจิตใจของพนักงานให้แข็งแกร่ง เพื่อมาร่วมฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน ก็ลองนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้ดูได้ ไม่แน่ว่าหลังวิกฤตคุณจะได้ใจพนักงาน และมีทีมงานที่แข็งแกร่งพร้อมที่จะทุ่มเทกับองค์กรได้มากกว่าทุกวันนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
 
 
ที่มา : hbr.org
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย