เงินไม่ใช่ปัจจัยเดียว ที่ลูกน้องอยากลาออกนะจ๊ะ นายจ๋า




           ขอนำเสนอภาคต่อของ The Great Resignation จากที่ได้เคยนำเสนอไปใน ส่อเค้าวุ่น ปัญหาแรงงานขาดระบาดทั่วโลก ญี่ปุ่นต้องพึ่งคนอายุ 80 กลับเข้าทำงาน ถึงวิกฤตการขาดแคลนแรงงานอย่างหนักในประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งหนึ่งวิธีที่หลายแบรนด์นำมาแก้ไขปัญหาอย่างแรงด่วน คือ การขึ้นค่าแรงเพื่อจูงใจพนักงานให้กลับมาทำงาน โดยมองข้ามหรือลืมนึกถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดพนักงานเหล่านั้นจึงชิงลาออกทั้งที่ก็ยังไม่มีงานใหม่รองรับ และนี่คือ เหตุผลที่ทำให้พวกเขาลาออกกัน


            McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ ได้ทำการศึกษาปรากฏการณ์ Great Attrition - การลาออกจำนวนมากของพนักงาน หรือรู้จักกันดีในอีกชื่อ คือ “The Great Resignation” โดยพบว่าตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาแรงงานในสหรัฐฯ มากกว่า 19 ล้านคนและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ตัดสินใจลาออกจากงานจำนวนมาก โดยเหตุผลกลับไม่ใช่เพราะผลตอบแทนรายได้น้อยอย่างที่นายจ้างหลายคนเข้าใจ แต่กลับมาจากความต้องการภายใน ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการทำงาน เช่น ความเป็นอิสระและความยืดหยุ่นในการทำงานที่ไม่อยากทำงานเต็มรูปแบบเต็มเวลาเท่านั้น ดังนั้นการพยายามแห่ขึ้นค่าแรงเพื่อจูงใจพนักงานอย่างที่ทำอยู่ในขณะนี้ จึงอาจเป็นวิธีที่สวนทางกันและไม่มีประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้นั่นเอง
               




        จากผลสำรวจความคิดเห็นจากเหล่าพนักงานกลับพบว่า 40 เปอร์เซ็นต์นั้น มีแนวโน้มที่จะลาออกใน 3 – 6 เดือนข้างหน้า และ64 เปอร์เซ็นต์คิดจะลาออกทั้งที่ยังไม่มีงานใหม่ โดยเป็นการสำรวจความคิดเห็นจากการสุ่มตัวอย่างเหล่าพนักงานใน 5 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา


          โดยพบว่าธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะสูญเสียพนักงานไป ก็คือ ภาคธุรกิจการบริการ เช่น พนักงานร้านอาหาร พนักงานให้บริการดูแลสุขภาพ โดยพนักงานในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มการลาออกมากที่สุดกว่าเพื่อน และเป็นที่น่าตกใจว่ากว่า 42 เปอร์เซ็นต์นั้นมาจากเหล่าพนักงานที่ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพและความช่วยเหลือทางสังคม เหตุเพราะแรงกดดันที่ต้องเห็นการสูญเสียจากผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดนั่นเอง


           สำหรับพนักงานที่ยังทำงานอยู่บอกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะพวกเขาชอบที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ในขณะที่กว่าร้อยละ 90 ของพนักงานที่ลาออกไปในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กลับตอบว่าเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาไม่มีปัญหาเรื่องการย้ายที่อยู่อาศัย เนื่องบริษัทใหม่ที่เข้าทำงานด้วยยอมให้ทำงานทางไกลได้


           นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าปัจจัยแท้จริง 3 อันดับแรกที่ทำให้พวกเขาอยากลาออก ได้แก่ 54 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่ากับองค์กรหรือหัวหน้างาน, 52 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในที่ทำงาน และ 51 เปอร์เซ็นต์ รู้สึกไม่มีตัวตนอยู่ในบริษัท โดยเฉพาะพนักงานผิวสี
               


           

           โดยเมื่อทำการสำรวจไปยังนายจ้างหรือหัวหน้างานกลับพบว่า 38 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าพนักงานลาออก เพราะค่าตอบแทนที่น้อยกว่า ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาเลือกแก้ปัญหาด้วยการขึ้นค่าแรงให้ แต่ความจริงแล้วจากผลสำรวจรวมกลับพบว่าปัจจัยที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจลาออกเลย ก็คือ 52 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่เชื่อมั่นในหัวหน้างาน และ 51 เปอร์เซ็นต์ ลาออก เพราะไม่เชื่อมั่นในงานที่ทำอยู่ว่าจะสามารถพัฒนาความสามารถหรือคุณภาพชีวิตพวกเขาให้ดีขึ้นได้นั่นเอง


         นอกจากนี้การเพิ่มค่าแรงหรือผลประโยชน์ทางการเงิน เช่น โบนัส ให้ โดยไม่เคยพูดคุยหรือสอบถามสาเหตุที่แท้จริงของการลาออกทำให้แทนที่จะรู้สึกดีใจหรือขอบคุณ พวกเขากลับรู้สึกคล้ายกับการแลกเปลี่ยนบางอย่างมากกว่า คือ ไม่อยากให้ลาออก ก็ขึ้นเงินให้ โดยไม่ได้แสดงถึงความจริงใจหรือเห็นความสำคัญของพวกเขาที่มีต่อองค์กรให้เห็นเลย ดังนั้นจึงไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องอยู่ต่อ



               

          ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นอีกบทเรียนให้ผู้ประกอบการต้องกลับไปคิดทบทวนตนเองว่า เพราะเหตุใดหลังเหตุการณ์วิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่นี้ได้เกิดขึ้น พนักงานจึงตัดสินใจลาออกกันเป็นจำนวนมาก ในไทยหรือประเทศโซนเอเชียเองอาจยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตมากเท่ากับประเทศฝั่งอเมริกาหรือยุโรป แต่ก็มีหลายบริษัทที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของเหล่าพนักงานได้ โดยจากรายงานชี้ให้เห็นว่าต่อไปนี้พนักงานอาจจะมีความอดทนเพียงเล็กน้อย สำหรับการกลับไปสู่สภาวะเป็นอยู่ที่พวกเขาไม่ชอบมาก่อน


          วิกฤตจากโรคระบาดครั้งใหญ่ได้เปลี่ยน Mindset ของคนทำงานไปค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้ประกอบการเองก็ควรใช้วิกฤตนี้ เพื่อปรับปรุงตนเอง ปรับปรุงองค์กร ลองถอยออกมาฟัง ดู และเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น บางครั้งการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ เช่น ที่จอดรถฟรี พื้นที่กิจกรรมสันทนาการ ก็อาจเป็นสิ่งช่วยผูกมัดใจพนักงานให้อยู่กับเราได้อย่างมีความสุข และยาวนานขึ้นได้นั่นเอง



 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร