ล้มไม่ใช่แพ้ ถ้ารู้จักลุกอย่างมีกลยุทธ์ “Resilience” ทักษะที่ SME ควรมี

     ในยุคที่โลกของการทำงานเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และแรงกดดันต่างๆ หนึ่งในทักษะที่ผู้คนจำเป็นต้องมีเพื่อประคับประคองตนเองให้เดินหน้าไปได้อย่างมั่นคงคือ "Resilience" ความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลวและอุปสรรค หรือก็คือ ล้มแล้วลุกเร็วนั่นเอง ทักษะนี้ไม่เพียงช่วยให้เรากลับมายืนได้หลังจากพลาดพลั้ง ล้มเหลว แต่ยังช่วยสร้างพลังภายในให้พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ได้อย่างมั่นใจ

Resilience คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ

     Resilience ไม่ใช่เพียงแค่ความเข้มแข็งทางจิตใจ หรือความสามารถในการอดทนเท่านั้น แต่คือกระบวนการในการฟื้นคืนพลังอย่างสร้างสรรค์เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว การสูญเสีย หรือสถานการณ์กดดันสูง โดยงานวิจัยจาก American Psychological Association ระบุว่า Resilience คือ "กระบวนการของการปรับตัวอย่างดีต่อความทุกข์ ความบอบช้ำ หรือความเครียดที่รุนแรง" ซึ่งหมายความว่าใครๆ ก็สามารถเรียนรู้และฝึกฝน Resilience ได้

     ในบริบทของการทำงาน Resilience คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พนักงานสามารถรักษาคุณภาพของผลงานในสถานการณ์ที่กดดัน ลดความเสี่ยงของภาวะหมดไฟ และเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้จากความผิดพลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน หากใครที่มีทักษะ Resilience ก็จะช่วยทำให้มีความแข็งแกร่ง  ปรับตัวเร็ว เพิ่มความมั่นใจในตนเอง และสามารถรับมือกับปัญหาอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาได้ดียิ่งขึ้น

     อย่างไรก็ตาม การมี Resilience ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ล้มอีกเลย แต่คือการมีความสามารถในการลุกขึ้นใหม่อย่างมีศักดิ์ศรี พร้อมบทเรียนและมุมมองใหม่ๆ ที่ช่วยให้เก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ

10 สูตรฟื้นใจและปรับตัวไว 

     1. เปลี่ยนวิธีมองจากอุปสรรคเป็นโอกาส มองปัญหาเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต และผู้นำควรสื่อสารให้ทีมเห็นความเป็นไปได้ แทนที่จะเน้นแต่ความกลัว

     2. โฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น ทัศนคติของตนเอง การทำงานให้ดี การดูแลสุขภาพ และการพัฒนาทักษะ ซึ่งช่วยลดความเครียด และเพิ่มความมั่นใจในตนเอง

     3. ดูแลสุขภาพกายใจอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ "อดทน" แต่ต้องพักผ่อนให้พอ มีเวลาฟื้นฟู องค์กรควรสนับสนุนให้พนักงานตั้งขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว

     4. สร้างเครือข่ายสนับสนุน คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีมักรับมือกับความไม่แน่นอนได้ดีกว่า ดังนั้นองค์กรควรส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งด้านงานและด้านสังคม

     5. ปลูกฝังวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ต่อเนื่องช่วยให้ปรับตัวเร็วและมีทัศนคติแบบเติบโต (Growth Mindset)

     6. เชื่อมโยงงานกับความหมาย งานที่มีความหมายทำให้คนพร้อมสู้กับความยากลำบาก องค์กรจัดให้มีการอบรม เวิร์กช็อป แลกเปลี่ยนความรู้ในทีม เชื่อมโยงงานกับความหมา และช่วยให้พนักงานเห็นคุณค่าของบทบาทตนเอง

     7. มองโลกในแง่ดีแบบมีสติ ไม่ใช่มองโลกสวย แต่คือการเห็นโอกาสในความยาก และเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านไปได้

     8. เปิดรับการทดลองและความล้มเหลว การปรับตัวต้องเริ่มจากการกล้าลอง โดยไม่กลัวผิด ใช้แนวทาง agile และการทบทวนแบบไร้การตำหนิ (blameless post-mortem)

     9. เตรียมรับมือหลายสถานการณ์ ฝึกคิดแผนสำรองหากสิ่งที่คาดไว้ไม่เกิดขึ้นจริง ช่วยเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ และลดความกลัวสิ่งไม่คาดคิด

     10. สร้างระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ยืดหยุ่นทั้งในด้านโครงสร้างงาน เวลาทำงาน และเครื่องมือที่ใช้ ให้อำนาจการตัดสินใจกับพนักงานมากขึ้น

     ที่มา : ignitehcm 

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย