รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

Text : Phan P.


     ในโลกธุรกิจที่ทุกอย่างหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ความสนใจของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน นักการตลาดจึงต้องหาวิธีดึงความสนใจและปิดการขายให้ได้ในเวลาสั้นๆ หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้ผลที่สุด คือ FOMO Marketing หรือการตลาดที่อาศัย ความกลัวพลาดโอกาสมาเป็นแรงกระตุ้นการตัดสินใจ

 FOMO คืออะไร ทำไมถึงได้ผล

     FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หมายถึงความรู้สึกกลัวตกขบวน กลัวพลาดสิ่งดีๆ หรือโอกาสสำคัญ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นกับคนทุกยุคทุกวัย เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ทางการตลาด นั่นคือการตลาดที่ใช้ “ความกลัวว่าจะพลาด” มาเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น เพราะถ้าช้าอาจไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

     เหตุผลที่การตลาดแบบนี้ใช้ได้ผลในทุกยุคทุกสมัย นั่นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์มีแนวโน้มไม่อยากพลาดสิ่งที่คนอื่นมี เพิ่มความรู้สึกต้องรีบตัดสินใจ ลดเวลาคิดมาก สร้างแรงจูงใจจากความเร่งด่วนและความขาดแคลน

     กลยุทธ์นี้จึงเหมาะกับผู้ประกอบการ SME ในแง่ที่ว่าใช้ต้นทุนต่ำ  ไม่จำเป็นต้องลงทุนโฆษณามาก เพียงออกแบบข้อความและแคมเปญให้เร่งด่วน สามารถกระตุ้นยอดขายได้ในทันที  ช่วยสร้างกระแสและการแชร์ เพราะแคมเปญที่มีเวลาจำกัดมักถูกแชร์ต่อในโซเชียลมีเดีย เพิ่มคุณค่าของแบรนด์ จากสินค้าหรือข้อเสนอที่มีจำกัด ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีความพิเศษ

    อย่างไรก็ตาม การทำการตลาด FOMO ก็มีข้อที่ควรระวังด้วยเช่นกัน เพราะหากใช้บ่อยเกินไป ลูกค้าก็จะเริ่มเกิดความชินและไม่ได้รู้สึกว่ามีความพิเศษอีกต่อไป ที่สำคัญไม่ควรใช้กลยุทธ์นี้ด้วยการโกหกหลอกลวง เช่น อ้างว่าสินค้าใกล้หมดแล้ว ทั้งๆ ที่ยังมีอยู่ในสต็อกอีกจำนวนมาก ซึ่งหากรู้ค้ารู้อาจทำให้แบรนด์เสียความน่าเชื่อถือได้ ดังนั้น จึงต้องมีความจริงใจและโปร่งใส เพื่อให้ลูกค้าเชื่อใจในระยะยาว

เทคนิค FOMO ที่ SME ใช้ได้เลย

     1. ข้อเสนอจำกัดเวลา (Limited-time offer) เป็นการทำโปรโมชั่นจำกัดเวลา ลดวันนี้วันเดียวเท่านั้น หรือ Flash Sale เฉพาะวันสำคัญ เทคนิคนี้เหมาะกับร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์ที่ต้องการเร่งยอดขายทันที ยกตัวอย่าง ร้านกาแฟเปิดโปร ซื้อ 1 แถม 1 เฉพาะ 2 ชั่วโมงนี้เท่านั้น เป็นต้น

     2. สินค้ามีจำนวนจำกัด (Scarcity) การบอกว่ามีของเหลือเพียงไม่กี่ชิ้น เช่น เหลือเพียง 3 ชิ้นสุดท้ายในสต็อก ช่วยเร่งการตัดสินใจได้ดี

     3. แจ้งจำนวนผู้สนใจหรือยอดสั่งซื้อ (Social proof) โดยใช้ข้อความ เช่น มีคนซื้อไปแล้ว 500 ราย หรือมีคนกำลังดูสินค้านี้อยู่ 20 คน เพื่อเป็นแรงจูงใจให้รู้สึกว่าเป็นสินค้ายอดนิยม และต้องรีบซื้อ

     4. สินค้ารุ่นพิเศษ (Limited Edition) กระตุ้นให้คนรีบซื้อเพราะอาจไม่มีผลิตอีก

     5. สิทธิพิเศษเฉพาะกลุ่ม (Exclusivity) เสนอข้อเสนอเฉพาะสมาชิก เช่น Early Access ให้ซื้อสินค้าก่อนใคร หรือส่วนลดเฉพาะลูกค้าเก่า

     6. ใช้ Social Proof เช่น รีวิวจากผู้ใช้งานจริง เพราะคะแนนและคำรับรองจากลูกค้ามักทำให้เกิดความกลัวว่าจะพลาดโอกาสดีๆ รีวิวเชิงบวกแสดงให้เห็นว่าผู้คนชื่นชอบผลิตภัณฑ์ และสิ่งนี้กระตุ้นให้ผู้ซื้อที่มีศักยภาพเกิดความกลัวว่าพวกเขากำลังพลาดประโยชน์ที่ผู้อื่นได้รับ

     ที่มา : https://mailchimp.com/resources/fomo-marketing

                https://landingi.com/digital-marketing/fomo

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

 

 


 

 

RECCOMMEND: MARKETING

ไอเดียวาฟเฟิลรองเท้า ที่โดนใจ Gen Z จนขายได้วกว่า 200 คู่/วัน   

จะมาเป็นวาฟเฟิลเหมือนกันไม่ได้! เมื่อร้าน Chalos มาพร้อมกับวาฟเฟิลรูปรองเท้า ที่มองไปมองมาช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน ด้วยรูปทรงหัวโตๆ มีรูเยอะๆ พร้อมติดน้ำตาลปั้นสุดคิ้วท์แต่ละข้าง และใส่มาในกล่องที่ทำมาได้ฟีลกล่องรองเท้าจริงๆ ด้วย 

3 เทรนด์ธุรกิจมาแรงปี 2026 ที่ SME ไม่ควรมองข้าม

ปี 2026 คือปีแห่งการเปลี่ยนผ่านของโลกธุรกิจ แต่สำหรับ SME ที่ต้องการ “ลงมือไว เห็นผลเร็ว” นี่คือ 3 เทรนด์ที่จับต้องได้ง่าย และมีโอกาสสร้างรายได้

Dr.Pong VS Supermom ขายของยังไงให้ได้ร้อยล้านพันล้าน สวนกระแสยุคที่คนหันมาสร้าง Personal Branding

ในขณะที่กลยุทธ์การสร้าง Personal Branding กำลังถูกพูดถึงว่าเป็นหนึ่งในหัวใจความสำเร็ของการทำธุรกิจในยุคออนไลน์ แต่ Dr.Pong VS Supermom คือสองแบรนด์ไทยที่เดินสวนกระแส แต่กลับสร้างธุรกิจระดับร้อยล้านล้านพันล้านได้