ถอดรหัส 3 แบรนด์ SME ไทยที่สะเทือนธุรกิจพันล้าน

Text: Neung Cch.


     แจ็คฆ่ายักษ์ไม่ได้เป็นแค่เพียงเรื่องเล่าในนิทาน วันนี้ SME ไทยวันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “แบรนด์เล็ก” ไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นตัวประกอบอีกต่อไป

     จากสุกี้ตี๋น้อยที่สร้างอาณาจักรพันล้านในเวลาไม่ถึง 8 ปี, ยืดเปล่าที่ทำให้ยักษ์แฟชั่นต้องหันมาเปลี่ยนเกม ไปจนถึง One To Two Coffee ที่บุกแชร์ตลาดกาแฟระดับพรีเมียมสำเร็จ โลกธุรกิจไทยกำลังถูกเขย่าโดยผู้เล่นตัวเล็กที่ “เข้าใจลูกค้า” และ “เคลื่อนที่เร็ว” กว่าที่เคย

     ในสกู๊ปนี้ เราจะถอดรหัสกลยุทธ์ 3 แบรนด์ SME ที่เติบโตจนสร้างแรงสะเทือนให้ธุรกิจพันล้าน และสรุปบทเรียนเชิงลึกที่ SME สามารถเรียนรู้นำไปปรับใช้ได้จริง

สุกี้ตี๋น้อย: จากร้านเล็กสู่จักรวรรดิสุกี้

     “เราไม่ได้ขายบุฟเฟต์ราคาถูก แต่ขาย ‘ประสบการณ์เกินคุ้ม’ และนั่นคือสิ่งที่ลูกค้าจดจำ” นี่คือวิสัยทัศน์ของ ณัฐมน พิศาลกิจวานิช (เฟิร์น) ผู้ก่อตั้งสุกี้ตี๋น้อยเริ่มจากร้านเล็กในปี 2561 แต่วันนี้กลายเป็น “ตัวเขย่าสนามบุฟเฟต์”

     ภายในเวลาเพียง 8 ปี สุกี้ตี๋น้อยขยายจากร้านเล็กสู่ 87 สาขา และสร้างรายได้รวมกว่า 7,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้ไม่ได้แค่ทำให้ตลาดสุกี้สะเทือน แต่ยังทำให้ เจ้าตลาดพันล้านต้องหันมามอง และนี่คือกลยุทธ์เด็ดของสุกี้ตี๋น้อย

     การสร้างคุณค่าที่เหนือกว่าราคา

         สุกี้ตี๋น้อยเริ่มต้นด้วยการกำหนดจุดยืนที่ชัดเจนในตลาด ด้วยการนำเสนอสุกี้บุฟเฟต์ในราคาที่เข้าถึงได้เพียง 199 บาทต่อหัว ก่อนจะปรับราคาขึ้นเป็น 219 บาทเมื่อวัตถุดิบราคาสูงขึ้น (ไม่รวมเครื่องดื่มและ VAT) แต่ถึงกระนั้น ผู้บริโภคก็ยังคงรู้สึกว่าคุ้มค่า อาทิ ความหลากหลายของเมนูที่มีให้เลือกมากกว่า 48 ชนิด ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบคุณภาพสูงอย่างเนื้อวัวออสเตรเลียและมอสซาเรลลาชีส  นอกจากนี้ แบรนด์ยังให้ความสำคัญกับการบริการที่เป็นเลิศ การติดแอร์ ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างความรู้สึก "เกินคุ้ม" และกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากที่ทรงพลัง มียอดผู้เข้าร้านรวมทุกสาขากว่า 100,000 คนต่อวัน

     การขยายสาขาแบบ Standalone และเจาะตลาด 24 ชั่วโมง

          อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างคือ การเลือกทำเลที่ตั้งร้านแบบ Standalone นอกห้างสรรพสินค้า ที่มีที่จอดรถไว้รองรับ และยังเปิดโอกาสให้แบรนด์สามารถขยายช่วงเวลาการให้บริการได้ตั้งแต่เที่ยงวันถึงตีห้า  ซึ่งเป็นการบุกเบิกตลาดใหม่ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการร้านอาหารคุณภาพในช่วงเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา พนักงานออฟฟิศที่เลิกงานดึก หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวยามราตรี  การใช้ทำเลแบบนี้ยังช่วยให้สามารถควบคุมต้นทุนค่าเช่าได้ดีขึ้นอีกด้วย   

     การรับมือกับสงครามตลาด: จาก "Price War" สู่ "Value War"

          เมื่อผู้นำตลาดสุกี้ได้เปิดตัวกลยุทธ์บุฟเฟต์ในราคาที่ใกล้เคียงกับตี๋น้อยที่ 299 บาท  การตอบสนองของสุกี้ตี๋น้อยเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แบรนด์เลือกที่จะออกโปรโมชั่นลดราคาลงมาอีกเหลือ 199 บาท แต่สิ่งที่แตกต่างคือการเลือกใช้เหตุผลทางการตลาดที่สร้างสรรค์และเป็นมิตรกับลูกค้าคือ "ฉลอง 1 ล้านผู้ติดตาม"  แทนที่จะประกาศว่า "ลดราคาเพื่อสู้คู่แข่ง" การสื่อสารเช่นนี้วิธีนี้ลดแรงเสียดทานทางแบรนด์และสร้าง engagement แบบบวกและแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ไม่ได้มุ่งเน้นแต่เพียงการแข่งขันด้านราคา แต่ให้ความสำคัญกับลูกค้าและใช้โอกาสในการเฉลิมฉลองเพื่อมอบของขวัญให้ผู้บริโภค

ยืดเปล่า: เสื้อผ้าสไตล์มินิมอลที่ครองใจคนรุ่นใหม่

      อีกหนึ่งธุรกิจ SME ที่เริ่มต้นด้วยเงินทุน 8,000 บาท เมื่อ ทนงศักดิ์ แซ่เอี้ยว เห็นช่องว่างในตลาด กางเกงบ็อกเซอร์ ค่อยขยายมาสู่แบรนด์เสื้อ "ยืดเปล่า" ที่พาธุรกิจโตจนพี่ใหญ่ในวงการธุรกิจเสื้อผ้าเจ้าของแบรนด์แฟชั่นต้องเปิดใจถึงวิธีการทำธุรกิจเค้าที่มีความน่าสนใจดังนี้

     สร้างจุดแข็งจาก pain point

          ยืดเปล่าเริ่มต้นจากการสังเกต Pain Point ของคนที่สวมใส่เสื้อยืดมักเจอปัญหา "เสื้อคอย้วย" แบรนด์จึงได้สร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งด้วยสโลแกนที่จดจำง่ายและตรงใจลูกค้าอย่าง "ยืดแต่ไม่ย้วย"  ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติหลักที่ทำให้ผู้บริโภคนึกถึงแบรนด์นี้เป็นอันดับแรกๆ นอกจากนี้ ทนงศักดิ์ ยังได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดการต้นทุนโดยการใช้ "Stock Fabric" หรือผ้าส่วนเกินจากโรงงานที่ขายในราคาที่ถูกลงกว่า 50%  ทำให้แบรนด์สามารถตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าตลาด

     สวนกระแสแบบไม่กลัว

          ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ธุรกิจค้าปลีกส่วนใหญ่ซบเซา ยืดเปล่ากลับเลือกที่จะเดินสวนกระแสด้วยการขยายสาขาในห้างสรรพสินค้า การตัดสินใจที่กล้าหาญนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ค่าเช่าพื้นที่ในห้างลดลงอย่างมาก ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงทำเลทองและเพิ่มการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว กลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวและความกล้าที่จะมองเห็นโอกาสในวิกฤต ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ SME สามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดได้  

     ก้าวสู่ตลาด Premium Mass ด้วยนวัตกรรม

          หลังจากสร้างชื่อเสียงในตลาดเสื้อยืด ยืดเปล่าได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ "TAILOR COOL POLO INNOVATION"  ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มวัยรุ่นสู่กลุ่มคนทำงาน  นวัตกรรมที่โดดเด่นคือการแก้ Pain Point เรื่อง "ไซส์เสื้อ" ที่ผู้บริโภคทั่วไปมักเผชิญ แบรนด์ได้ใช้เวลาถึงสองปีในการพัฒนาเสื้อโปโลที่มีให้เลือกถึง 20 ไซส์ 18 สี โดยแบ่งตามความสูงเพื่อความพอดีกับสรีระที่แตกต่างกัน  การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแค่เป็นการเพิ่มยอดขาย แต่เป็นการยกระดับแบรนด์สู่ตลาด "Premium Mass" ที่ให้คุณค่าด้านนวัตกรรมเหนือกว่าการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว

One To Two Coffee: Everyday Coffee ที่อัด Quality เป็นการตลาด

     จากร้านกาแฟเล็กๆ ในเชียงราย ต่อมา เคน-ทวิวัฒน์ ลาภพาติกุล’ กับแนวคิดอยากนำเสนอกาแฟคุณภาพสูงในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ที่วันนี้มาแชร์ส่วนแบ่งตลาดกาแฟแบรนด์ใหญ่เรียบร้อยด้วยกลยุทธ์คือ

     "Everyday Coffee" ที่มาพร้อมกับความ Premium

          แก่นของโมเดลธุรกิจของ One To Two coffee คือแนวคิด "Everyday Coffee" หรือกาแฟที่สามารถดื่มได้ทุกวัน แบรนด์ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะเป็นกาแฟที่ถูกที่สุด แต่เป็นกาแฟคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 50-60 บาท  ชื่อแบรนด์ "1:2" สื่อถึงอัตราส่วนการสกัดกาแฟเอสเพรสโซที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งสะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพตั้งแต่ต้น การวางตำแหน่งตัวเองในตลาด "Premium Mass" นี้ทำให้แบรนด์สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาแบบ Red Ocean ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

     ศิลปะแห่งการสร้างแบรนด์: คุณภาพคือการตลาดที่ดีที่สุด

          One To Two coffee เลือกที่จะลงทุนในการสร้างแบรนด์ผ่าน "คุณภาพ" เป็นหลักแทนการใช้เงินจำนวนมากกับการโฆษณา  แบรนด์ลงทุนในเครื่องชงกาแฟระดับ High-End จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Kees van der Westen และ Synesso ซึ่งมีราคาสูงถึงหลายแสนบาทต่อเครื่อง  การลงทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจว่ากาแฟทุกแก้วที่ส่งมอบให้ลูกค้ามีคุณภาพและรสชาติที่สม่ำเสมอในทุกสาขา  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างความภักดีในแบรนด์ (Brand Loyalty) และกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดสำหรับแบรนด์   

     ขยายสาขาแต่ไม่เน้นแฟรนไชส์

          แม้จะมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วถึงกว่า 50 สาขาใน 7 ปี 1 แต่ One To Two coffee กลับมีนโยบายที่สวนทางกับธุรกิจกาแฟส่วนใหญ่ในไทยคือ "ไม่ขายแฟรนไชส์" มาจาก 2 เหตุผลหลักคือ ความต้องการที่จะรักษาการควบคุมคุณภาพให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันอย่างเข้มงวด  3  แทนที่จะใช้การขายแฟรนไชส์เป็นแหล่งเงินทุน แบรนด์เลือกที่จะระดมทุนจากกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติที่เห็นความสำเร็จของธุรกิจ และใช้การ "Re-invest" กำไรกลับเข้าไปในบริษัทเพื่อขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง  4  การตัดสินใจที่ดูเหมือนจะทำให้การเติบโตช้าลงนี้ แท้จริงแล้วคือการสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนในระยะยาว และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าผ่านความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์

     กรณีศึกษา SME ทั้งสามแบรนด์นี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นยักษ์ถึงจะสร้างแรงสั่นสะเทือน เพราะโลกที่เปลี่ยนเร็วอย่างทุกวันนี้ ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเริ่มใหญ่ที่สุด แต่อยู่ที่ใคร “เข้าใจลูกค้าและลงมือทำได้เร็วที่สุด” และนั่นคือคำตอบว่าทำไม SME ไทยวันนี้ ถึงไม่ใช่แค่ผู้ตาม แต่กำลังกลายเป็นผู้นำเกมใหม่

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

เลิกบริการผิดวิธี ถ้าอยากขายดียุคนี้ ต้องทำให้ Social Battery ลูกค้าหมดช้าที่สุด

ใครว่าบริการที่ดีต้อง "ยิ้ม ต้องทัก ต้องถาม" เสมอไป? วันนี้ธุรกิจที่ทำเงินได้ดี อาจเป็นร้านที่ "พูดน้อยที่สุด" และ "รบกวน Social Battery ลูกค้าให้น้อยที่สุด" ก็เป็นได้

เปิดอินไซต์ Longevity Economy “ชีวิตยืนยาว–สุขภาพดี” มาตรฐานใหม่ของความลักชูรี่ ดันตลาดสุขภาพไทยโตแรงระดับโลก

ชีวิตยืนยาว–สุขภาพดี กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความลักชูรี่ เปิดอินไซต์ Longevity Economy ชี้ตลาด Health & Wellness ไทยโตแรงระดับโลก เมื่อ “อยู่ได้นาน” ไม่พอ แต่ต้อง “อยู่ได้ดี” นี่คือเมกะเทรนด์ที่ธุรกิจสุขภาพต้องจับตา

ไอเดียวาฟเฟิลรองเท้า ที่โดนใจ Gen Z จนขายได้วกว่า 200 คู่/วัน   

จะมาเป็นวาฟเฟิลเหมือนกันไม่ได้! เมื่อร้าน Chalos มาพร้อมกับวาฟเฟิลรูปรองเท้า ที่มองไปมองมาช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน ด้วยรูปทรงหัวโตๆ มีรูเยอะๆ พร้อมติดน้ำตาลปั้นสุดคิ้วท์แต่ละข้าง และใส่มาในกล่องที่ทำมาได้ฟีลกล่องรองเท้าจริงๆ ด้วย