เจาะอินไซด์ Beauty Business ไทย สงครามความงาม 7.5 หมื่นล้าน ใครจะครองบัลลังก์?

     ธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ แม้มูลค่าตลาดปี 2568 จะยังแตะระดับ 75,200 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2569 แต่การเติบโตกลับชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด กำไรหดเหลือเพียง 2.0–2.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิด ขณะที่การแข่งขันทวีความรุนแรง ทั้งจาก คลินิกกว่า 2,700 ราย ที่ผุดขึ้นทุกปี และคู่แข่งต่างชาติที่ดึงดูดลูกค้าไทยไปทำศัลยกรรมถึงต่างประเทศ

     ศึกครั้งนี้ไม่ใช่แค่การชิงส่วนแบ่งตลาด แต่เป็นการวัดกันว่าใครจะปรับตัวได้เร็วพอ ระหว่าง คลินิกที่ครองตลาด 85% แต่ถูกบีบด้วยราคา กับ โรงพยาบาล ที่กำลังไต่ขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ด้วยมาตรฐานการรักษาและ Medical Tourism ที่โตเฉลี่ย +5% ต่อปี ท่ามกลางแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ ลูกค้าใหม่อย่าง Gen Z ผู้ชาย LGBTQIA+ และผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อสูง กำลังถูกจับตาในฐานะ “ทางรอด” ของธุรกิจนี้

     คำถามคือ…ในสงครามความงามมูลค่า 7.5 หมื่นล้านบาท ใครจะอยู่ ใครจะร่วง? และใครจะพลิกเกมได้ก่อน?

มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย

     ปี 2568 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย คาดอยู่ที่ 75,200 ล้านบาท โต 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จำนวนการใช้บริการ รวมถึงอัตราค่ารักษาและบริการจะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเผชิญกับกำลังซื้อและการแข่งขันที่รุนแรง

     สำหรับปี 2569 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยคาดโตราว 1.0% จากจำนวนการใช้บริการที่ชะลอลง ขณะที่การแข่งขันยังคงรุนแรง จากภาวะเศรษฐกิจที่กดดันต่อการทำรายได้และขยายฐานลูกค้า

     แม้ว่าโอกาสของธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย จะได้รับแรงหนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและการเพิ่มขึ้นของลูกค้า Medical Tourism ในไทย แต่การแข่งขันจะรุนแรงต่อเนื่อง ทั้งจากคู่แข่งในประเทศและความนิยมออกไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศ

แนวโน้มธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย

     ในปี 2568 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย  คาดว่าจะอยู่ที่ 75,200 ล้านบาท โต 1.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จำนวนการใช้บริการ รวมถึงอัตราค่ารักษาและบริการจะเพิ่มขึ้น แต่ยังคงเผชิญกับกำลังซื้อและการแข่งขันที่รุนแรง

     สำหรับปี 2569 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยคาดโตราว 1.0% จากสัญญาณการชะลอตัวของจำนวนการใช้บริการ ขณะที่การแข่งขันยังคงรุนแรงต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่กดดันต่อการทำรายได้และขยายฐานลูกค้า ส่งผลให้อัตราการเติบโตอาจชะลอตัวจากปี 2568

การแข่งขันรุนแรงสะท้อนจากผลตอบแทนจากกำไรสุทธิต่อรายได้รวมที่ปรับลดลง

     หากมองผลตอบแทนจากกำไรสุทธิต่อรายได้รวม (Net Profit Margin: NPM) ของธุรกิจ  คาดว่าปี 2568-2569 อาจอยู่ในช่วง 2.0-2.4% โดยที่ผ่านมา พบว่า ช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2560-2562) ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ช่วงหลังโควิด-19 (ปี 2565-2567) ลดลงมาอยู่ที่ 2.4% สะท้อนว่า แม้มูลค่าตลาดจะยังโต แต่ด้วยตลาดที่เผชิญการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการมากราย อาทิ กรุงเทพฯ ซึ่งมีการทำโปรโมชั่นต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงกลุ่มลูกค้า จึงทำให้ NPM เฉลี่ยของธุรกิจอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ

    ปัจจุบันมูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามกว่า 85% จะมาจากกลุ่มคลินิก แต่มีแนวโน้มลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรง

     ปี 2568 คาดว่า สัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มคลินิกจะอยู่ที่ 85% ลดลงจากปี 2564 ที่ 90% โดยเป็นผลมาจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจุดแข็งด้านมาตรฐานการรักษาและความมีชื่อเสียงของศัลยแพทย์

     สำหรับปี 2569 คาดว่า สัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มคลินิกและโรงพยาบาล จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2568 แต่หากพิจารณาอัตราการเติบโตของธุรกิจ คาดว่า กลุ่มโรงพยาบาลน่าจะเติบโตสูงกว่ามูลค่าตลาดรวมและกลุ่มคลินิก จากจุดแข็งด้านมาตรฐานการรักษาที่น่าจะจูงใจให้ผู้มีกำลังซื้อสูง ยังคงเข้ามารับบริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ ลูกค้าชาวต่างชาติ เจ้าของธุรกิจ อินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น

     เทรนด์ศัลยกรรมและเสริมความงามช่วงใบหน้า คาดว่าจะยังได้รับนิยมสูงในปี 2568-2569

     เทรนด์ศัลยกรรมและเสริมความงามที่ลูกค้าสนใจทำมากที่สุดอยู่ที่บริเวณช่วงใบหน้า (รูปที่ 4) คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 46% ของจำนวนการใช้บริการทั้งหมด โดยมีกลุ่มลูกค้าศักยภาพใหม่ อาทิ กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQIA+) กลุ่ม GenZ และผู้ชาย ซึ่งจะเป็นฐานผู้ใช้บริการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

     การทำศัลยกรรมโดยศัลยแพทย์ในไทยกว่า 74% ของจำนวนการใช้บริการ เป็นแบบผ่าตัด  ส่วนอีก 26% เป็นแบบไม่ผ่าตัด แม้จะมีสัดส่วนน้อยกว่าแต่ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น (รูปที่ 5)

     ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เปิดกว้างและกล้าทำศัลยกรรมมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย มีความปลอดภัยและใช้เวลาฟื้นตัวน้อยลง ขณะที่หัตถการความงามบางประเภท สามารถให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงการผ่าตัดได้ ส่งผลให้การทำศัลยกรรมและเสริมความงามแบบไม่ผ่าตัด ได้รับความนิยมมากขึ้น สะท้อนจาก ปี 2567 สัดส่วนการทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดอยู่ที่ 74% ลดลงจากปี 2566 ที่ 79% ขณะที่การทำศัลยกรรมแบบไม่ผ่าตัด มีสัดส่วนขยับขึ้นมาอยู่ที่ 26%

     ทั้งนี้ การทำศัลยกรรมและเสริมความงามแบบผ่าตัดในไทย ส่วนใหญ่นิยมทำตา จมูกและหน้าอก ขณะที่แบบไม่ผ่าตัด จะนิยมฉีดโบทูลินัมท็อกซิน (โบท๊อก) ไฮยาลูรอนและยกกระชับใบหน้าและลำคอ

โอกาสของธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงาม

     การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หนุนความต้องการศัลยกรรมและเสริมความงามที่ช่วยชะลอวัย ภายในปี  2571 ไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุราว 14 ล้านคน โดย 22% ของประชากรกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีรายได้สูง อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนว่า น่าจะเป็นลูกค้าศักยภาพและมีความเต็มใจจ่ายสูงให้กับเทคโนโลยีการรักษาที่ช่วยชะลอวัย อาทิ ศัลยกรรมดึงหน้า ทำหน้าอก ดูดไขมัน ลดริ้วรอย เป็นต้น

     ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพหนุนการเติบโตของจำนวนลูกค้าต่างชาติ สอดคล้องกับจำนวนลูกค้า Medical Tourism ของไทย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% ทั้งนี้ ศัลยกรรมความงามอยู่ในกลุ่มบริการทางการแพทย์ที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ามาใช้บริการในไทยมากเป็นอันดับ 2 โดยมีลูกค้าหลัก คือ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น รวมถึงอินโดนีเซีย ที่ได้รับอิทธิพลจากกระแส K-Pop และการเปิดกว้างกับการทำศัลยกรรมมากขึ้น

ความเสี่ยงของธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย

     บุคลากรทางการแพทย์มีจำกัดโดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งในไทยมีเพียง 475 ราย (รูปที่ 6) เมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง เกาหลีใต้ ซึ่งมีอยู่ 2,808 ราย ทำให้อัตราการแข่งขันเพื่อแย่งบุคลากรทางการแพทย์สูงและส่งผลให้ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น เช่น ในกรณีของศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าในไทยที่มีเพียง 100 คน

     ธุรกิจมีการแข่งขันรุนแรง ทั้งคู่แข่งในประเทศกว่า 2,700 ราย  ซึ่งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 470 ราย โดยเฉพาะคลินิกขนาดเล็ก และคู่แข่งต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเปิดสาขาให้บริการทำศัลยกรรมในไทยหรือส่งตัวลูกค้าไปรับบริการในต่างประเทศ ซึ่งยังคงได้รับความนิยมจากคนไทย โดยเฉพาะการไปรับบริการในเกาหลีใต้ รวมถึงจีน ที่ระยะหลังได้รับความนิยมมากขึ้น

     ธุรกิจต้องลงทุนในเทคโนโลยีหรือเครื่องมือใหม่ๆ ตามเทรนด์ความงามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ส่วนหนึ่งจะจูงใจให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แต่หากลูกค้ามาใช้บริการน้อยหรือไม่สม่ำเสมอ อาจกระทบต่อการต้นทุนและกำไรของธุรกิจได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่จับลูกค้ากลุ่มรายได้ปานกลางลงมา ซึ่งมักจะเปรียบเทียบความคุ้มค่าด้านราคา ดังนั้น การแข่งขันด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เน้นความคุ้มค่าจะรุนแรงมากขึ้น เช่น มีแพ็กเกจหลายราคา หรือมีการรับประกันผลงานในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เป็นต้น

     ที่มา: KResearch

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

SME ต้องรู้!  เคล็ดลับทำให้ “แบรนด์ใหญ่อยาก Collab ด้วย

ทุกวันนี้ Collaboration หรือการจับมือกับแบรนด์อื่น ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่คือ ทางลัด ที่ทำให้แบรนด์เล็กก้าวสู่สปอตไลต์ได้ในชั่วข้ามคืน แล้วแบรนด์เล็กจะทำอย่างไรให้แบรนด์ใหญ่หันมามองและยอม Collab ด้วย?

ตีแผ่วงในธุรกิจร้านสะดวกซัก 18 อินไซต์ที่ต้องรู้ ถ้าไม่อยากขาดทุนและปวดหัว

เบื้องหลังร้านสะดวกซัก ไม่ง่ายเหมือนหยอดเหรียญแล้วจบ! นี่คือ 18 ความจริงที่เจ้าของร้านตัวจริงไม่เคยบอก อ่านให้รู้ก่อนลงทุน จะได้ “อยู่รอด” ไม่ใช่แค่ “เปิดร้าน”