ตั้งราคาสินค้าแพง ก็ขายดีได้

 เรื่อง : รัฐวิทย์ ทองภักดี
           rattawitt@yahoo.com


 







            ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า “การไม่ลดราคาสินค้า ก็เป็นกลยุทธ์การตลาดแบบหนึ่ง!” สินค้าแบรนด์ดังๆ บางแบรนด์ไม่เคยลดราคาสินค้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราคาขายสินค้าก็เป็นมาตรฐาน ไม่น่าเชื่อว่าสินค้าทุกชิ้นจะขายดี มียอดสั่งจองล่วงหน้า หรือแม้กระทั่งลูกค้าเดินทางไปซื้อถึงร้านที่ต่างประเทศต้นกำเนิดของแบรนด์นั้นๆ เลยก็มี… “ทำไมของแพงจึงขายได้?”


            ผู้ประกอบรายย่อยส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้พิจารณาในเรื่องการตั้งราคาให้ดีว่าจะต้องราคาเท่าไรถึงจะสามารถแข่งขันในได้ในระยะยาว ส่วนใหญ่มักพิจารณาแต่เรื่องต้นทุนเป็นอันดับแรกแล้วก็ดูราคาคู่แข่งในตลาด จากนั้นก็บวกกำไรที่ต้องการจึงเป็นที่มาของการกำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการ ทำให้หลายๆ ครั้งการแข่งขันรุนแรงคู่แข่งจัดโปรโมชั่นลดราคา ทำให้ไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องลดราคาสินค้าลงตามคู่แข่งเพื่อให้ขายได้ กำไรก็เหลือน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่แน่ว่าสินค้าราคาต่ำแล้วลูกค้าอยากจะซื้อเสมอไป หากไปเจอสินค้าที่ลดคุณภาพลง หรือไม่ได้มาตรฐาน…แล้วเคยคิดไหมครับว่า “ทำไมลูกค้าจึงยอมจ่ายแพงกว่า?”


            ทั้งนี้ จะเห็นว่าไม่ใช่สูตรสำเร็จเสียทีเดียวว่า “ราคาถูก” แล้วจะสามารถขายได้ ขายดี เสมอไป ราคาเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อเท่านั้น บางท่านอาจจะบอกว่าถ้ากลุ่มลูกค้าเป็นคนรวยก็ไม่มีปัญหาจะแพงเท่าไรก็ซื้อได้ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ผมอยากจะให้ลองมองย้อนกลับมาหาตัวเราเอง แล้วลองถามตนเองดูว่าจริงๆ แล้วเราตัดสินใจซื้อสินค้าโดยเลือกที่ราคาถูกที่สุด ต่ำที่สุด ทุกๆ ครั้งเลยหรือเปล่า?…แล้วทำไมบางครั้งเราจึงยอมจ่ายเงินแพงกว่าเพื่อซื้อสินค้าอีกยี่ห้อหนึ่งแทนที่จะซื้อยี่ห้อที่ถูกกว่า?


            ที่เกริ่นมาข้างต้นก็เพื่อที่จะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าราคา “ถูกหรือแพง” ในความรู้สึกของลูกค้าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ความรู้สึกและความคาดหวังของลูกค้าเป็นประเด็นที่สำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา ราคาสินค้าชนิดเดียวกันแต่อยู่ในสถานที่ต่างกันก็ขายในราคาที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความคาดหวังในใจของลูกค้า ทุกๆ ครั้งก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าลูกค้ามักจะมีราคาที่คาดหวังไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะซื้อในราคาเท่าไรที่เรียกว่า  “ราคาอ้างอิง”  


            ตัวอย่างถ้าท่านซื้อกาแฟสดที่ร้านกาแฟในปั๊มน้ำมัน ท่านคงจ่ายเงินไม่เกินแก้วละ 40-60 บาท หากราคาเกินกว่านี้ถือว่าแพงเกินไป เพราะจากความคุ้นเคยของเราบอกว่าราคาที่ควรซื้อเป็นเท่าไร แต่ถ้าหากท่านเดินช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แล้วพักเหนื่อยดื่มกาแฟที่ร้านสตาร์บัคส์ ราคาที่ยอมจ่ายก็อยู่ที่ระดับ 80-150 บาท ก็จะเป็นราคาที่คาดหวังอยู่ในใจแล้ว หรือแม้กระทั่งน้ำส้มคั้นเหมือนๆ กันแต่ขายอยู่ที่ตลาดกับร้านอาหารราคาก็ย่อมต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน


             อย่างไรก็ตาม ผมอยากนำเสนอกลยุทธ์การตั้งราคาโดยคำนึงถึง ราคาตามคุณค่า (Value Base Pricing) ที่ทำให้ลูกค้าย่อมจ่ายแพงกว่า มีปัจจัยดังนี้


            1. ความสามารถในการแข่งขันและเป้าหมายทางการเงิน เช่น ผลิตภัณฑ์มีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งที่สามารถกำหนดราคาสูงกว่าได้ หรือมีช่องทางการจำหน่ายที่ได้เปรียบกว่า  รวมถึงกำไรที่ต้องการ เป็นต้น


            2. ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้า หากลูกค้ามีความต้องการและความคาดหวังสูงก็สามารถที่จะตั้งราคาที่สูงได้ เช่น iPhone หรือ iPad ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ ลูกค้าต้องเข้าคิวจองอยู่หลายเดือนกว่าจะได้ อีกทั้งยังเป็นเสมือนอุปกรณ์ที่บ่งบอกถึงฐานะหรือรสนิยมอีกด้วย


            3. ต้นทุนของสินค้าหรือบริการทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร หากมีต้นทุนสูงก็จำเป็นที่จะต้องตั้งราคาขายที่สูง เพื่อให้กิจการมีกำไรอยู่ได้


            4. ราคาของคู่แข่ง โดยเฉพาะคุณค่าของสินค้าคู่แข่งที่ลูกค้ารับรู้


            5. ความสามารถซื้อของลูกค้าเป้าหมายและสภาพเศรษฐกิจ



            ยิ่งไปกว่านั้นการกำหนดราคาจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้สอดคล้องกับส่วนประสมการตลาดอื่นๆ ทั้งในด้าน ผลิตภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด เช่น หากสินค้ามีการออกแบบและผลิตมาเป็นอย่างดี มีนวัตกรรม ก็ควรที่จะมีงบการตลาดเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ ทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือการส่งเสริมการตลาดแบบอื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าให้มากขึ้นในสายตาของลูกค้า แล้วก็ตั้งราคาสูงเท่าที่ลูกค้าเป้าหมายจะยอมรับได้ โดยงบการตลาดนี้จะต้องนำไปคิดบวกเข้าไปในโครงสร้างของราคารวมถึงกำไรที่ต้องการ



            สินค้าแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Louis Vuitton ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 150 ปี “ไม่เคยลดราคาเลยสักครั้งเดียว” นั่นคือ Louis Vuitton ไม่มีการจัดเซลส์ ซึ่งแสดงให้เห็น “การยึดมั่นในตัวสินค้า” ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสินค้าของ Louis Vuitton ก็ไม่มีวันที่จะราคาตก ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้เลยว่าสินค้าจะไม่มีวันล้าสมัย และยังคงใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดว่า “จะไม่มีการขายโดยมีของแถมติดไปกับสินค้าหรือขายเป็นเซต” ซึ่งการให้ของแถมก็เป็นการสื่อความนัยว่าเป็นการให้ส่วนลด นั่นเอง



             นอกจากนี้ Louis Vuitton ยังได้กำหนดกลยุทธ์การตลาดในด้านอื่นๆ ให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างคุณค่าให้สูงขึ้นในจิตใจของลูกค้า เช่น ห้ามโฆษณาทางโทรทัศน์  เนื่องจากสินค้าที่ใช้การโฆษณาทางโทรทัศน์ส่วนใหญ่เป็นสินค้ามวลชน (Mass Product) ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ทั้ง สบู่ แชมพู อาหาร เสื้อผ้า ฯลฯ แต่สินค้าระดับหรูอย่าง Louis Vuitton เป็นสินค้าที่เฉพาะกลุ่มลูกค้า และเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกจึงจำเป็นต้องแบ่งแยกจากสินค้ามวลชนให้ชัดเจน หรือแม้กระทั่งการจำกัดจำนวนของลูกค้าภายในร้านเพื่อสร้างบรรยากาศในการเดินเลือกซื้อสินค้าภายในร้านให้เป็นไปอย่างสบาย ไม่แออัด โดยลูกค้าบางส่วนจำเป็นที่จะต้องยืนรอคิวอยู่หน้าร้านก่อนจนกว่าลูกค้าภายในร้านจะซื้อเสร็จ



            ทั้งนี้ การที่ยกตัวอย่างของ Louis Vuitton ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดที่สอดคล้องไปกับการกำหนดราคาที่เหมาะสมกับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือแบรนด์ ไม่ได้เป็นการโฆษณาสินค้าของ Louis Vuitton แต่อย่างใด


            ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้กับท่านผู้ประกอบการก็คือ กลยุทธ์ทางการตลาดในด้าน ผลิตภัณฑ์ (Product) ราคา (Price) สถานที่(Place) และโปรโมชั่น (Promotion) จะต้องมีการกำหนดให้สอดคล้องและเหมาะสมกัน เพื่อสร้างคุณค่าของสินค้าให้สูงขึ้น หากสินค้ามีคุณภาพต่ำก็ไม่สามารถจะนำไปขายราคาสูงได้ หรือสินค้าที่มีคุณภาพดีก็ไม่ควรที่จะกำหนดราคาต่ำซึ่งก็อาจจะทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจในคุณภาพของสินค้า คิดว่าเป็นสินค้าที่ไม่ดีหรือด้อยคุณภาพก็เป็นได้ อีกทั้งจะต้องมีสถานที่และการส่งเสริมการขายที่ดีด้วยเช่นกัน



www.smethailandclub.com 
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี




RECCOMMEND: MARKETING

เจาะอินไซด์ Beauty Business ไทย สงครามความงาม 7.5 หมื่นล้าน ใครจะครองบัลลังก์?

ธุรกิจความงามไม่ใช่แค่ “ความสวย” แต่คือ สนามรบแห่งกำไรและการเอาตัวรอด ตลาดหมื่นล้าน แต่ NPM ต่ำสุดในรอบ 10 ปี การแข่งขันดุเดือด ที่น่าสนใจคือ…ในสนามนี้ใครจะครองอยู่หรือใครจะไป?

SME ต้องรู้!  เคล็ดลับทำให้ “แบรนด์ใหญ่อยาก Collab ด้วย

ทุกวันนี้ Collaboration หรือการจับมือกับแบรนด์อื่น ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ แต่คือ ทางลัด ที่ทำให้แบรนด์เล็กก้าวสู่สปอตไลต์ได้ในชั่วข้ามคืน แล้วแบรนด์เล็กจะทำอย่างไรให้แบรนด์ใหญ่หันมามองและยอม Collab ด้วย?