กลยุทธ์เด็ด เปลี่ยน Followers เป็น Customers มัดใจให้อยู่หมัดก่อนลูกค้าตีจาก

TEXT : เจษฎา





      ถ้าแบรนด์ของเรามีผู้ติดตาม (Followers) ในโซเชียลมีเดียรวมกันนับแสนคน ต้องบอกว่านั่นคือเรื่องที่น่าดีใจจริงๆ แต่ถ้าเราเปลี่ยนผู้ติดตามเป็นลูกค้าไม่ได้ หรือขยายยอดขายจากผู้ติดตามที่มีอยู่ไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะสมรภูมิการค้าบนโลกออนไลน์ นับวันมีแต่จะดุเดือดและมีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น หากเราต้องการจะเติบโตในปี 2021 เราต้องพร้อมรับมือกกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
               

       ลองนึกภาพแอพพลิเคชัน TikTok ที่ถูกแบนโดนสหรัฐฯ ในปีที่แล้วดู ผู้คนจำนวนมากสูญเสียโอกาสในการขายและรายได้ไปอย่างมหาศาล และความไม่แน่ไม่นอนแบบนี้ ถามว่ามีโอกาสเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่มีอะไรแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น Facebook “อาจ” ปรับอัลกอริทึมใหม่ครั้งใหญ่อีกรอบในอนาคตก็ได้ หรือ โซเชียลมีเดียประเภทอื่นๆ “อาจ” ถูกจำกัดการเข้าถึง แต่ถ้าเราพร้อมรับมือ และเริ่มต้นเปลี่ยนผู้ติดตามและแฟนเพจ เป็นลูกค้าได้ ปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาย่อมเบามือลงแน่ๆ



 
           
ทำไมต้องเปลี่ยนผู้ติดตามให้กลายเป็นลูกค้า ?
               

      โดยปกติแล้ว ลูกค้าจะกดติดตามแบรนด์ต่างๆ เพราะชื่นชอบสินค้าหรือบริการ และต้องการเห็นพัฒนาการ ข่าวสาร และโปรโมชันที่น่าสนใจ เผื่อวันนึงอาจซื้อสินค้าหรือซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นแต่ว่ายอดผู้ติดตามจะเป็นยอดที่เราซื้อมาแบบปลอมๆ และความล้มเหลวในเรื่องนี้คือ แบรนด์ของเราพลาดโอกาสในการขายสินค้านั่นเอง
               

      อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ มีผู้ใช้งานหลายๆ คนสูญเสียบัญชีให้กับแฮกเกอร์ ทำให้ไม่สามารถเข้าบัญชีเดิมได้ เพราะฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ติดตามเหล่านั้น (ที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของเรา) คำตอบคือ เขาอาจจะลืมไปแล้วว่าเคยติดตามแบรนด์ใดไว้ และข่าวสารรวมถึงโปรโมชันของเราก็อาจไปไม่ถึงเขาอีกต่อไปแล้วก็ได้ หรือบางกรณี วันดีคืนดีผู้ติดตามอาจกด Unfollow ไปเพจเราไปดื้อๆ ก็ได้ ดังนั้น ทำไมเราถึงไม่รีบเปลี่ยนผู้ติดตามให้เป็นลูกค้าซะตั้งแต่วันนี้ล่ะ? วิธีการก็ไม่ยากเลย เริ่มจาก



           

1. เปิดการรับสมัคร email subscription
               

       กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสมัครรับข้อมูลข่าวสารของแบรนด์เราผ่าน e-mail ยกเว้นจะมีของตอบแทนบางอย่างมอบให้ เช่น รหัสส่วนลดแบบจำกัดเวลา แจกของที่ระลึก ดาวน์โหลด E-Book ที่น่าสนใจฟรี เพื่อแลกกับข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการเสนอส่วนลด 20-40 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการซื้อครั้งแรก เป็นวิธีที่นักการตลาดหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทรงประสิทธิภาพมากๆ และได้ประโยชน์ทั้งในแง่ของการสร้างรายได้ บริหารสต็อค เกิดลูกค้าใหม่ และอาจเกิดการซื้อซ้ำในอนาคตด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การตัดสินใจซื้อเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เราต้องพยายามนำเสนอความคุ้มค่าที่เหนือกว่าคู่แข่งให้กับกลุ่มเป้าหมายให้ได้



 
             
2. Retarget และ retarget และ retarget
                 

      การ Retarget ก็คือการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยเห็นหรือรู้จักแบรนด์ของเราแล้วบ่อยๆ แต่ควรต้องมีกลยุทธ์และวิธีที่ดีเพื่อไม่ให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความอึดอัดและรำคาญนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มเป้าหมายเข้าไปเว็บขายสินค้าออนไลน์ เพื่อเลือกดูสินค้าต่างๆ ทีนี้เว็บไซต์นั้นๆ จะสร้างคุกกี้เก็บไว้ในเบราว์เซอร์ หรือ Account หลังจากนั้นพอเราไปที่เว็บอื่นๆ ก็จะมีโฆษณาที่คาดว่าเราน่าจะสนใจแทรกมาให้เห็นเรื่อยๆ จนกว่าจะปิดการขายได้ โดยวิธีนี้เหมาะกับธุรกิจที่พร้อมลงทุน มีพนักงานดูแลระบบหลังบ้านที่มีความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว
               

       สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ การรวบรวมฐานข้อมูลลูกค้าด้วย e-mail เป็นวิธีที่ง่าย และค่อนข้างประหยัดงบประมาณที่สุดแล้ว โดยเราสามารถส่ง e-mail อย่างน้อย 1 ฉบับ ต่อเดือนไปยังฐานลูกค้าเพื่อแจ้งข้อเสนอพิเศษ หรือผลิตภัณฑ์ / บริการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ซึ่งดีกว่าการส่งข่าวสารธรรมดาๆ ที่บางครั้งกลุ่มเป้าหมายเห็นปุ๊บก็รีบกดลบโดยไม่ยอมเปิดอ่านด้วยซ้ำไป
               
               
           


    
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: MARKETING

เทรนด์ Emotional Spending โอกาสทองธุรกิจ เมื่อคนลงทุนกับความสุขใจมากขึ้น

เมื่อผู้บริโภคไทยเริ่มให้ความสำคัญกับ ความสุขใจมากกว่าสิ่งจำเป็น การใช้จ่ายเพื่อเติมเต็มชีวิต (Emotional Spending) กำลังกลายเป็น โอกาสทองของธุรกิจ ผู้ประกอบการที่เข้าใจเทรนด์นี้ มีโอกาสสร้างรายได้และความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

Tiny Tattoo: เทรนด์ใหม่ที่สอนให้แบรนด์หรูคิดต่าง สิ่งเล็กๆ กำลังเปลี่ยนเกมตลาด Luxury

รอยสักขนาดจิ๋ว (tiny tattoo) และเส้นบาง (fine-line tattoo) ไม่ใช่แค่ศิลปะ แต่เป็น “การลงทุนด้านรสนิยม” ที่อยู่กับเจ้าของตลอดชีวิต ส่งผลให้จำนวนผู้ทำงานในธุรกิจร้านสักสหรัฐฯ เพิ่มจาก 150,000 เป็น 180,000 (2020–2024)

นี่ไม่ใช่แท่งสี แต่คือไอเดีย มัทฉะบาร์ พร้อมทาน 6 เฉดสี เจ้าแรกของไทย

ที่เห็นเรียงเป็นแท่งๆ ไล่เฉดเขียวจนถึงน้ำตาลในกล่องนี้ ไม่ใช่พาเลตต์สีน้ำหรือแท่งสีแต่อย่างใด แต่คือ “มัทฉะบาร์”