Text: VaViz
เค็มรึเปล่า ที่กินอยู่นั้นเค็มเกินไปรึเปล่า? ใครที่เป็นสายปรุงหรือติดรสจัดแบบไม่เค็มไม่นัวพี่ไม่กินพึงระวัง! เพราะตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) นั้น เราควรบริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็นโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เพราะถ้าติดนิสัยกินเค็มเกินไปนานๆ ไม่ใช่แค่มีอาการคอแห้งแล้วอยากกินน้ำเท่านั้น แต่อาจลุกลามไปสู่การเป็นโรคไตและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ หรือโรคความดันโลหิตสูงได้เลยทีเดียว ดังนั้น คงจะดีกว่าถ้าเรามีตัวช่วยที่บอกได้ว่า อาหารที่อยู่ตรงหน้านั้นเค็มมากแค่ไหน หรือเราควรจะกินเข้าไปหรือเปล่า
เพื่อตอบโจทย์ที่กล่าวมา “ส้อมวัดความเค็มแบบพกพา” จึงถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาของทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นั่นเอง
ถึงแม้หน้าตาจะดูเหมือนส้อมที่เราใช้กันทั่วๆ ไป แต่อุปกรณ์ตัวนี้สามารถบอกได้ถึงระดับความเค็มในอาหาร ตั้งแต่เค็มน้อย เค็มปานกลาง ไปจนถึงเค็มปี๋ เพียงแค่จุ่มปลายส้อมลงในอาหารในส่วนที่เป็นของเหลว ที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส แล้วกดปุ่มเปิดการทำงานเท่านั้น ส้อมจะวิเคราะห์ปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) หรือโซเดียมในอาหารให้ทันที
โดยจะแสดงระดับความเค็มเป็น 3 ระดับ ได้แก่
- ไฟสีเขียวหมายถึง เค็มน้อย ความเข้มข้นของโซเดียม 1 - 0.5% (หรือมีปริมาณโซเดียม 1 - 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร)
- ไฟสีเหลืองหมายถึง เค็มปานกลาง ความเข้มข้นของโซเดียม 6 - 0.9%
- ไฟสีแดงหมายถึง เค็มเกินไป ความเข้มข้นของโซเดียมมากกว่า 9%
ทั้งนี้ ทางทีมนักวิจัยใช้ความเค็มของน้ำเกลือล้างจมูก ซึ่งมีความเข้มข้น 0.9% เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ระดับความเค็ม
ตัวส้อมวัดความเค็มนี้ผลิตจากสแตนเลส 304 ฟู้ดเกรด ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหาร และเคลือบด้วยอีนาเมล (Enamel) ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในเครื่องครัว ดังนั้น มั่นใจได้เลยว่า มีความปลอดภัยและทนทานในการใช้งาน
ทั้งนี้ บริเวณปลายส้อมเป็นส่วนที่ถูกออกแบบมาให้ไม่ต้องเคลือบอีนาเมล เพื่อทำหน้าที่เป็นขั้วปล่อยกระแสไฟฟ้าและวัดแรงดันไฟฟ้าที่ไหลผ่านของเหลว เพื่อวัดความเค็มของอาหาร โดยปัจจุบันมีความแม่นยำถึง 80% และมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 6 - 7 เดือน โดยสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้
หลังจากใช้งาน แค่ล้างส่วนปลายส้อมที่สัมผัสอาหารด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่ให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง แค่นี้ก็พร้อมนำใส่กระเป๋าพกพาไปใช้กับมื้อต่อไปได้เลย
แม้ว่าจะอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาและปรับปรุงต้นแบบให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น แต่นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของคนรักสุขภาพและอยากเลี่ยงการกินอาหารที่เค็มเกินไปได้มีตัวช่วยอยู่ใกล้ๆ โดยไม่ต้องคิดหรือคาดคะเนไปเองหรือเที่ยวถามคนอื่นว่า ของที่เรา(กำลัง)กินอยู่นั้น มันเค็มเกินไปหรือไม่กันแน่
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี