Starting a Business

สะบัดลายเส้นให้เป็นรายได้! ftsketchwork สาวออฟฟิศที่หยิบทะเลมาวาดจนสร้างผลงานราคาหลักหมื่นต่อรูป

 

Text:Yuwadi.s

      ด้วยความรักในศิลปะที่มีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอใช้การวาดภาพเป็นสิ่งเยียวยาใจและงานอดิเรกมาโดยตลอดและเมื่อโตขึ้น เธอได้ค้นพบแนวทางของตัวเองที่ใช้ทะเลเป็นสื่อกลางในการพาศิลปะเข้าไปสู่ใจของคน จนกลายเป็นงานอดิเรกที่สามารถสร้างมูลค่าได้หลักหมื่นต่อชิ้นเลยทีเดียว นี่คือศิลปินที่รู้จักกันในนาม ftsketchwork หรือ ฝน-ฝนทอง ชุรินทรพรรณ ที่เลือกใช้ความสวยงามของทะเลมาสะบัดลายเส้นลงบนแคนวาสด้วยสีน้ำมัน จากงานอดิเรกฮีลใจสู่อาชีพเสริมด้านศิลปะที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

จากงานอดิเรกสู่อาชีพเสริมทำเงิน

     ฝนเล่าให้ฟังว่าเธอเป็นคนที่รักในการวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ในการเรียนและประกอบอาชีพหลัก เธอใช้ศิลปะเป็นงานอดิเรกที่อยู่ข้างกายมาโดยตลอด ทำให้เธอสั่งสมสกิลการวาดภาพและทำต่อมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งเธอค้นพบแนวทางของตัวเองว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นคนชอบทะเล โทนสีที่วาดก็เชื่อมโยงกับสีของทะเล ทำให้เธอลองใช้สีน้ำมันวาดทะเลเป็นครั้งแรก และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของศิลปินที่ใช้ทะเลถ่ายทอดความสวยงามลงบนแคนวาส

     “เราไม่เคยเรียนศิลปะมาก่อน เราใช้ศิลปะเป็นงานอดิเรก เอาการวาดภาพมาสร้างเสริมความชอบด้านศิลปะของเรา ก่อนหน้านี้เราใช้สีน้ำ เริ่มสเก็ตซ์ภาพข้างนอกบ้าน วาดตึกรามบ้านช่อง ตอนนั้นเรามีนามปากกา ftsketchwork เราวาดรูปมาเรื่อยๆ หลายปี เกือบสิบปีที่วาดเล่นแบบนี้จนเรารู้สึกตัวว่าโทนสีที่เราชอบใช้มันคือสีเขียว สีฟ้า วาดภาพไม่ได้ฉูดฉาดมาก ตุ่นๆ นวลตาแล้วก็มาค้นพบว่าเราชอบเที่ยวทะเล ทีนี้สีที่เราชอบ สถานที่ที่เราชอบไป มันเข้ากันได้ เราเพิ่งมาค้นพบแนวทางตัวเองเมื่อสองสามปีก่อนนี้เองที่เริ่มวาดภาพด้วยสีน้ำมัน เป็นการค้นพบในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ภาพแรกที่วาดทะเลคือภาพแรกที่ใช้สีน้ำมัน สีน้ำมันเป็นสีที่เราอยากลองตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยงบประมาณ การใช้งานที่ไม่ง่าย เลยยังไม่มีโอกาส โชคดีที่ภาพแรกที่เราวาดด้วยสีน้ำมัน เป็นภาพทะเลที่เราชอบ ทำออกมาได้ดี เลยกลายเป็นแนวทางที่เราชอบ”

     หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นอาชีพเสริมด้วยการใช้ช่องทางโซเชียลในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและสื่อสารให้คนในวงกว้างเข้าถึงผลงานของเธอได้ง่ายขึ้น โดยจะเน้นช่องทาง Twitter และ Instagram เป็นหลัก

     “ฝนทำมาจากความชอบและคิดว่าเราบาลานซ์ความชอบได้ดี เหมือนเรารู้ว่าถ้าเราเอาจริงเอาจังกับมันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้อาจจะไม่ชอบมันแล้วก็ได้ เราไม่ฝืน ทำให้เราสร้างงานได้เรื่อยๆ ตอนแรกเราก็เริ่มจากงานอดิเรกลงโซเชียลส่วนตัว เห็นแค่เพื่อนๆ หลังจากนั้นเราก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย กล้าจะโพสต์งาน ใช้โซเชียลเข้ามาช่วยเพื่อที่จะเปิดรับคำติชม โปรโมตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า มีทวิตเตอร์และไอจี ก็จะมีคนเข้ามาติดตามเรื่อยๆ เวลาเราลงภาพ”

     สิ่งที่ทำให้ฝนสามารถพาผลงานเข้าไปอยู่ในสายตาและใจของลูกค้าได้นั่นคือการที่เธอเปิดใจกับลูกค้าก่อน ด้วยการเล่าขั้นตอนการทำงานให้ลูกค้าได้เห็น ให้คนได้รู้ว่าการทำงานศิลปะที่เสร็จสมบูรณ์บางครั้งไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ 100% เพราะเธอผ่านขั้นตอนต่างๆ ที่ผิดพลาดมาระหว่างทาง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นภาพทะเลที่สวยงามได้ในที่สุด

     “เราอยากให้คนเข้าถึงงานเรามากขึ้น อยากให้งานเราเป็นอะไรที่เข้าใจง่าย เราจะถ่ายขั้นตอนการทำงานทุกขั้นตอน ไม่อยากให้ศิลปะเป็นอะไรที่เสร็จสมบูรณ์ ไม่อยากให้มองว่าคนนี้ต้องเก่งมากแน่ๆ เลยทำให้ผลงานที่เสร็จมันสวยขนาดนี้ จริงๆ ไม่ใช่เลย เวลาเราสเก็ตซ์ เรามีเปลี่ยนใจระหว่างทาง มันปรับเปลี่ยนได้เรื่อยๆ อยู่แล้ว คลื่นตรงนี้แปลกจัง ไม่สวย ทำใหม่ดีกว่า หรือว่าสมัยนี้เขาชอบวิดีโอสั้น ชอบ TikTok เราก็ทำให้เขามาอยู่กับเราตอนที่เราวาดรูป เหมือนถ่ายไทม์แลปส์ตั้งแต่ต้นจนจบหรือบางคลิปก็อาจจะสร้างสรรค์หน่อย การวาดรูปคนเดียวเงียบๆ มันง่ายกว่าอยู่แล้วเพราะเราโฟกัสแค่อย่างเดียว แต่อันนี้เราต้องตั้งกล้อง ต้องวางกล้อง อยากถ่ายมุมไหม แรกๆ ก็แบบเหนื่อยจัง แต่เราอยากให้คนเข้าใจงานเรา เลยเปลี่ยนมุมมอง มองให้มันสนุกแล้วกัน ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายงาน เราอยากให้คนเห็นว่าภาพที่เขาจะซื้อไปเราใช้เทคนิคไหนบนภาพบ้าง”

ใส่คุณค่าลงไปในงาน เพิ่มมูลค่าของงานศิลปะ

     ปัจจุบันช่องทางหลักในการขายงานของฝนจะอยู่ในทวิตเตอร์ โดยที่ผ่านมาเธอขายไปแล้ว 2 คอลเลกชันและภาพที่เคยขายได้สูงสุดอยู่ที่ 25,000 บาท เป็นภาพทะเล 4 ภาพในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีการออกบูธเพื่อที่จะพาผลงานของเธอไปพบเจอกับลูกค้าที่สนใจและสามารถเป็นเจ้าของผลงานได้ในรูปแบบต่างๆ อาทิ โปสการ์ด รูปวาดขนาดเล็ก งานอาร์ตพรินต์

     สิ่งสำคัญที่ฝนอยากฝากถึงผู้ผลิตงานศิลปะคือการไม่กดราคาตัวเอง เพื่อที่จะทำให้การทำงานในสายอาชีพนี้มีความยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มมูลค่าให้ผลงานของตัวเองและขายในราคาที่เหมาะสม

     “ฝนไม่อยากให้สายผลิตกดราคาภาพตัวเอง อันดับแรกเราต้องรู้ตัวเองก่อน ต้องมีราคาในใจ สายผลิตใช้เงินเยอะนะ เริ่มจากทุนแบบเม็ดเงินก่อน ค่าอุปกรณ์ ค่าเฟรม ค่าสีน้ำมัน ค่าตัวทำละลายต่างๆ คิดไปเลยว่าเท่าไหร่ ค่าแรงเท่าไหร่ ภาพนี้ใช้เวลาวาดกี่ชั่วโมง ตกชั่วโมงละเท่าไหร่ อยากให้สายผลิตใจดีกับตัวเองมากๆ เชื่อว่าหลายคนเริ่มจากงานอดิเรกเพราะยังไม่กล้า แต่พอเราจะเอางานของเรามาสร้างรายได้จากตรงนี้ให้ยั่งยืน ถ้าเราชอบอย่างเดียวแต่ไม่มีกิน มันก็ทำไม่ได้ เราจะหยุดทำไปในสักวัน งานฝนเองไม่ได้ถูก เราต้องเคารพตัวเองว่าเราเหนื่อยกับมัน เราใส่คุณค่าลงไปในงานแล้วมูลค่ามันจะเพิ่มขึ้นมาตาม”

     โดยเธอปิดท้ายว่าในอนาคตเธอตั้งใจจะเปิดสตูดิโอศิลปะผสมกับคาเฟ่ เพื่อให้คนยุคใหม่ได้มีอาร์ตสเปซเพิ่มขึ้นและเข้ามาใช้การวาดรูปเป็นงานอดิเรกฮีลใจ นอกจากนี้ยังปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจว่าเธออยากทำให้งานของเธอสะท้อนอารมณ์ของผู้คนที่แตกต่างกันและกลายเป็นงานที่เปิดกว้างเพื่อให้เข้ากับประสบการณ์ของผู้คนได้อย่างหลากหลาย

     “ฝนอยากสร้างผลงานออกมาได้อย่างเปิดกว้าง ไม่ปิดกั้นใครเลย ไม่ว่าใครก็ตามที่ผ่านมาเจอภาพของเราก็อยากให้เข้าถึงได้ อยากให้งานเราสะท้อนอารมณ์ที่แตกต่างกันจากประสบการณ์ที่เกิดจากแต่ละคน อย่างภาพทะเล แต่ละคนมีความทรงจำของทะเลที่แตกต่างกันแม้จะเป็นภาพเดียวกันก็ตาม อยากให้ทุกคนมีอารมณ์ร่วมกับภาพที่เขามองเห็นและรองรับความรู้สึกของคนได้หลากหลาย จุดนี้คือหัวใจที่เราอยากทำให้เกิดขึ้นได้ต่อไปเรื่อยๆ”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup