เรียนรู้จาก 3 แบรนด์ดัง AI ช่วยเปลี่ยนธุรกิจอย่างไร

เรียบเรียง : Jitti


     การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในธุรกิจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ด้วยเช่นกัน ในปัจจุบัน AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้ SME สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างชัดเจน

     สำหรับ SME ที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน การนำ AI มาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเห็นได้จากตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เช่น Stitch Fix, Sweetgreen และ Lululemon ที่สามารถนำ AI มาใช้ในหลากหลายด้านและได้รับผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

Stitch Fix

     เป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ให้บริการสไตลิสต์ส่วนตัวผ่านระบบออนไลน์ โดยนำเทคโนโลยี AI มาใช้ร่วมกับนักออกแบบแฟชั่นเพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ตรงใจลูกค้า โดยบริษัทได้พัฒนาโมเดล AI เพื่อปรับปรุงการแนะนำสินค้า การจัดการสินค้าคงคลัง และการสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้าแต่ละราย  

     1. การแนะนำสินค้าแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Recommendations) เมื่อสมัครใช้งาน ลูกค้าจะกรอกข้อมูลเกี่ยวกับสไตล์ ขนาดตัว งบประมาณ และความชอบส่วนตัว ระบบ AI ของ Stitch Fix จะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ รวมถึงประวัติการซื้อและการให้คะแนนสินค้า เพื่อสร้างโปรไฟล์สไตล์ที่แม่นยำ โมเดล AI จะวิเคราะห์ข้อมูลนี้เพื่อแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยมีนักออกแบบแฟชั่นร่วมตรวจสอบและปรับแต่งคำแนะนำเหล่านี้ก่อนส่งถึงลูกค้า โดยการแนะนำสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วย AI คิดเป็น 75% ของสินค้าที่ส่งถึงลูกค้า ซึ่งช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์

     2. การวิเคราะห์ความคิดเห็นของลูกค้า (Customer Feedback Analysis) Stitch Fix ใช้เทคโนโลยี OpenAI embeddings เพื่อวิเคราะห์ความคิดเห็นที่ลูกค้าให้มาในรูปแบบข้อความอิสระ เช่น ความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้า การให้คะแนน และข้อเสนอแนะต่างๆ AI จะสรุปข้อมูลเหล่านี้เพื่อปรับปรุงการแนะนำสินค้าในอนาคตและช่วยให้นักออกแบบแฟชั่นเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

     3. การพยากรณ์แนวโน้มแฟชั่น (Fashion Trend Forecasting) ระบบ AI ของ Stitch Fix สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย การแสดงแฟชั่น และรูปแบบการขาย เพื่อทำนายแนวโน้มแฟชั่นในอนาคตด้วยความแม่นยำสูงถึง 85% ความสามารถนี้ช่วยให้บริษัทสามารถจัดหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดความเสี่ยงของสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็

     4. การสร้างโปรไฟล์สไตล์ด้วย AI (AI-Driven Style Profiles) Stitch Fix ได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า "StyleFile" ซึ่งใช้ AI วิเคราะห์การให้คะแนนสไตล์ของลูกค้า เพื่อสร้างโปรไฟล์สไตล์ที่หลากหลายและซับซ้อน โดยโปรไฟล์เหล่านี้ช่วยให้การแนะนำสินค้าเป็นไปอย่างแม่นยำและตรงกับความชอบของลูกค้าแต่ละราย

Sweetgreen

     เป็นร้านอาหารเพื่อสุขภาพสัญชาติสหรัฐฯ ที่นำเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในโครงการที่เรียกว่า “Infinite Kitchen” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างหุ่นยนต์และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ซึ่งระบบนี้ประกอบด้วยสายพานอัตโนมัติที่ช่วยในการประกอบเมนูสลัดและอาหารต่างๆ โดยมีการควบคุมด้วย AI เพื่อให้การบริการมีความรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

     ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ Infinite Kitchen เพิ่มยอดขายร้านที่ใช้ระบบนี้มียอดขายเฉลี่ยสูงขึ้น 10% เมื่อเทียบกับร้านทั่วไป  ลดอัตราการลาออกของพนักงาน อัตราการลาออกของพนักงานลดลงถึง 45% เนื่องจากงานที่ซ้ำซ้อนถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ร้านใน Penn Plaza สามารถผลิตสลัดได้ถึง 200 ชามภายใน 30 นาที และมีศักยภาพในการผลิตสูงสุดถึง 500 ชามต่อชั่วโมง  

     Sweetgreen ยังนำ AI มาใช้ในการจัดการสินค้าคงคลัง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลการขายในอดีต แนวโน้มตามฤดูกาล และสภาพอากาศ เพื่อทำนายความต้องการของวัตถุดิบในแต่ละสาขา ซึ่งช่วยลดปริมาณของเสียและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการซัพพลายเชน

Lululemon

     แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาแนวไลฟ์สไตล์จากแคนาดา ได้นำ AI มาใช้ในหลายด้านของธุรกิจ เช่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อเสนอแนะสินค้าที่ตรงกับความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น

     1. การตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) Lululemon ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อ เพื่อปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ผลลัพธ์คือเพิ่มรายได้จากลูกค้าใหม่ และเพิ่มผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS) ขึ้น

     2. การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า (Customer Data Analysis) AI ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากช่องทางต่างๆ เช่น ความคิดเห็นบนเว็บไซต์และการติดต่อกับศูนย์บริการ เพื่อเข้าใจความต้องการและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ทำให้การเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และการเข้าร่วมกิจกรรมในร้านเพิ่มขึ้น

     3. การปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Optimization) Lululemon ใช้ AI ในการวิเคราะห์และปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้สินค้ามีความพร้อมและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดของเสียจากสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด

ที่มา :

     - https://www.tacticone.co/blog/stitch-fix-revolutionizing-retail-with-generative-ai

     - https://www.qsrmagazine.com/growth/finance/sweetgreens-automated-infinite-kitchen-readies-for-a-step-up-in-2025/

     - https://pitchgrade.com/companies/lululemon-athletica-ai-use-cases

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: TECH

ล้ำไปอีกขั้น! AI x 3D Printing เปลี่ยนเศษอาหารในครัว ให้กลายเป็นของใช้สุดคูล

ใครจะคิดว่าเศษอาหารในครัวจะกลายเป็นวัสดุสำหรับพิมพ์ของใช้ได้จริงๆ? ด้วย FOODres.AI คือเครื่องพิมพ์ 3 มิติตั้งโต๊ะ ที่สามารถแปลงเศษอาหารและขยะอินทรีย์ให้กลายเป็นงานฝีมือดีไซน์เก๋ ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

วัยรุ่นปวดหลังถูกใจสิ่งนี้ บิลบอร์ดป้ายรถเมล์สุดไฮเทค เช็กสุขภาพกระดูกสันหลัง เตือนปรับท่าทางให้ถูกต้อง นัดพบหมอได้ทันเวลา   

พาไปรู้จักป้ายบิลบอร์ดอัจฉริยะ แค่ไปยืนนิ่งๆ อยู่หน้าบิลบอร์ดก็จะสแกนท่าทางและวิเคราะห์การจัดตำแหน่งของคอ กลางหลัง และกระดูกสันหลังว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ โดยจะแสดงผลให้เห็นแบบเรียลไทม์ด้วยภาพและตัวเลขที่เข้าใจแบบง่ายๆ  

จากแป้งธรรมดา สู่พาสต้าระดับโลก Tasted Better สตาร์ตอัปไทย ปั้นนวัตกรรมอาหารให้เกาหลีต้องเหลียว

Tasted Better คือตัวอย่างของสตาร์ตอัปไทยที่คิดใหญ่ตั้งแต่วันแรก ซึ่งเกิดจากคำถามที่ว่า “ทำไมอาหารเส้นถึงยังไม่ตอบโจทย์สุขภาพได้เต็มที่”กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อร่อยเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือบุกไปตีตลาดเกาหลีใต้ได้ในเวลาไม่ถึงปี