สวยแบบมีสติ! “Projekt Glitter” กากเพชรจากพืช ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ

TEXT : กองบรรณาธิการ





Main Idea
 
 
     แง่คิดการทำธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมในแบบ “Projekt Glitter”
 
 
  • การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่สามารถทำได้กับทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงตั้งใจจริง ก็ย่อมมีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ
 
  • การนำความชื่นชอบของผู้คนมาผนวกรวมกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จะก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจได้
 
  • แนวคิดรักษ์โลกนอกจากช่วยสร้างความโดดเด่นให้สินค้า ยังเป็นคุณธรรมในการทำธุรกิจ นำมาสู่การสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้แก่โลกใบนี้
            


   

      ความสวยความงามเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะกับสาวๆ ทั้งหลายที่ชื่นชอบการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ แต่รู้ไหมว่าเครื่องสำอางหลายชนิด แม้เป็นเพียงชิ้นเล็กๆ แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ไม่แตกต่างจากโฟมหรือพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยากเลย


     จะดีกว่าไหม? หากความสวยของคุณสามารถช่วยดูแลโลกใบนี้ให้น่าอยู่แบบไม่ทำลายสภาพความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ของธรรมชาติไปพร้อมกันด้วย





     “Jeen Low” หญิงสาวชาวมาเลเซียผู้ชื่นชอบการแต่งแต้มสีสันอยู่บนใบหน้า ขณะเดียวกันก็มีหัวใจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ตระหนักถึงความสำคัญในข้อนี้ ซึ่งจากการไปศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักรและใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับวัฒนธรรมในยุโรป ทำให้เธอได้สัมผัสและเห็นสีสันความงดงามจากเทศกาลงานรื่นเริงต่างๆ มากมาย ที่ผู้คนสวยใหญ่มักตกแต่งใบหน้าด้วยสีสันฉูดฉาด ซึ่งเธอมองว่าเป็นความสดใสและเรื่องน่าสนุก แต่ขณะเดียวกันเครื่องสำอางหลายชิ้นก็กลับส่งผลเสียทิ้งไว้ให้กับสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับเหล่า Glitter หรือกากเพชรที่มักนิยมนำมาใช้ในการแต่งหน้าสไตล์แฟนซี


     เมื่อต้องไปทำงานและอาศัยอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี Jeen จึงคิดเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ของเธอ โดยการคิดผลิตกลิตเตอร์จากพืชขึ้นมาเมื่อปี 2559 โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “Projekt Glitter” เพื่อใช้เป็นเครื่องสำอางเพิ่มความแวววับให้กับใบหน้าและร่างกาย ซึ่งเป็นเทรนด์นิยมในยุโรป โดยมองว่านอกจากความสวยงามที่ได้แล้ว ยังเป็นเรื่องของงานศิลปะและงานฝีมืออีกด้วย





     เจ้า Projekt Glitter นั้นถูกผลิตขึ้นมาจากเซลลูโลส ซึ่งเป็นแผ่นฟิล์มจากพืชธรรมชาติ โดยถูกนำมาจากเส้นใยของต้นยูคาลิปตัสที่ได้มาจากพื้นที่เพาะปลูกที่มีการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบในยุโรป จึงปลอดภัยและอ่อนโยนกับผิวมากกว่าเพราะไม่มีสารเคมีอันตราย ที่สำคัญยังสามารถย่อยสลายได้เองในธรรมชาติภายในระยะเวลา 3 – 6 เดือนหลังจากที่มีการชะล้างออกไปแล้ว ต่างจากกลิตเตอร์แบบดั้งเดิมที่ผลิตขึ้นมาจากไมโครพลาสติกและไมโครบีดส์ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายได้หมดต้องใช้เวลานานเป็นพันๆ ปีกันเลยทีเดียว


     โดยปัจจุบัน Projekt Glitter ถูกจำหน่ายอยู่ใน 7 ประเทศในโซนยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว นอกจากนี้ยังมีจำหน่ายในร้านค้าปลีกหลายแห่งทั่วเยอรมนีและสหราชอาณาจักร รวมถึง Anthropologie และ Dolls Kills ในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย


     มีการตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด Jeen ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ในเอเชีย จึงตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจในกรุงเบอร์ลิน อีกทั้งทำไมจึงไม่ส่งสินค้ามาทำตลาดยังโซนเอเชียเลย เหตุผลเป็นเพราะว่าตลาดกลุ่มเป้าหมายและการใช้กลิตเตอร์ส่วนใหญ่นั้นเป็นวัฒนธรรมและความนิยมที่เกิดขึ้นในเทศกาลทางฝั่งยุโรปมากกว่านั่นเอง แต่อนาคตเธอก็มีแผนที่จะขยายมายังตลาดเอเชียด้วยเช่นเดียวกัน





     สำหรับราคากลิตเตอร์จากพืชอย่าง Projekt Glitter นั้น ค่อนข้างสูงกว่ากลิตเตอร์จากแบรนด์เครื่องอางทั่วไปในท้องตลาดอยู่ถึง 4 เท่าตัว นอกจากความยากในการผลิตแล้ว เหตุผลอีกข้อเป็นเพราะถูกผลิตอยู่ในเยอรมนี  ไม่ใช่ในจีนหรือโซนเอเชียที่มีค่าแรงถูกกว่านั่นเอง


     แต่ Jeen ให้แง่คิดว่าหากจะเปรียบเทียบถึงต้นทุนที่แท้จริง ควรมองที่ต้นทุนระยะยาวที่ต้องเสียไปกับการจัดการกลิตเตอร์พลาสติกที่กว่าจะย่อยสลายได้มากกว่า และแม้จะเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่ Jeen เลือกวางผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่ในกลุ่มสินค้าเพื่อความยั่งยืนมากกว่าจะเน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคซึ่งต้องการความสวยงามแค่เพียงอย่างเดียว โดยเธอมั่นใจว่าการมีอยู่ของ Projekt Glitter นั้นจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สำคัญให้กับผู้บริโภคที่วันหนึ่งคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมา ดังนั้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงถือเป็นคนละกลุ่มกับแบรนด์แฟชั่นและเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่


     ถึงแม้วันหนึ่งแบรนด์ยักษ์ใหญ่จะหันมาลงเล่นในกลุ่มตลาดเครื่องสำอางเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมาบ้าง เธอก็มีความยินดีและดีใจมากกว่าจะมองเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ เพราะการจะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้องค์กรขนาดใหญ่ถือว่ามีอิทธิพลค่อนข้างมากในการจะเริ่มต้นหรือสิ้นสุดเทรนด์ที่สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้บริโภคจำนวนมากได้ เพราะในเมื่อไม่ผลิตออกมาเสียแล้ว ผู้บริโภคก็ย่อมไปหาซื้อมาใช้ไม่ได้นั่นเอง


     Jeen มองว่าความหวังของเธอนั้นน่าจะอีกไม่ไกลเกินไปนัก เพราะเริ่มมีกฎหมายออกมาประกาศห้ามใช้ไมโครบีดส์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของผู้บริโภคที่มองหาโซลูชั่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเองอย่างน้อยๆ ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วในยุโรป





     ปัจจุบัน Projekt Glitter ได้รับคำสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์มากกว่า 1,000 รายการต่อปี ซึ่งแม้กลิตเตอร์จากพืชจะยังคงเป็นโปรเจกต์ที่น่าหลงใหลสำหรับเธอ แต่อนาคต Jeen ก็มีความสนใจที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย


     โดย Jeen ได้ฝากทิ้งท้ายว่ากลิตเตอร์เป็นเครื่องสำอางที่ช่วยเพิ่มความหรูหราแวววับและน่าสนใจให้กับคุณได้ โดยหลอดหนึ่งสามารถอยู่ได้หลายเทศกาล ดังนั้นหากคุณห่วงใยต่อโลก ขณะเดียวกันก็ต้องการเปล่งประกายแบบไม่รู้สึกผิด ราคาของกลิตเตอร์ที่สูงขึ้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนักเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณจะทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ร่วมกัน
               

     แม้แต่ผลิตภัณฑ์ชิ้นเล็กๆ อย่างกลิตเตอร์ยังสามารถคิดค้นออกมาเพื่อโลกได้ ดังนั้นคงไม่ยากเกินไปหากเราจะลองคิดหาวิธีพัฒนาหรือปรับปรุงสินค้าขึ้นมาเพื่อช่วยดูแลโลกใบนี้ต่อไปได้บ้าง ได้มากบ้าง น้อยบ้างไม่เป็นไร ขอเพียงเริ่มต้นลงมือทำ ก็เรียกว่าสำเร็จไปกว่าครึ่งทางแล้วล่ะ   
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี



 

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

เค้กหรือมายากล!? ไอเดียสุดแหวก! เมื่อ “ราเมน” กลายเป็นเค้ก

Bob The Baker Boy ร้านเค้กในสิงคโปร์ทำให้คำว่า “เค้ก” เปลี่ยนไปตลอดกาล จาก "หน้าตา" เค้กที่แทบทุกคนเห็นแล้วต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่าย! ไอเดียแบบนี้เกิดจากความตั้งใจของเมย์ ฟง เจ้าของร้านสุดครีเอทีฟ

ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด ฉบับทายาทรุ่น 3 จาก 3 แบรนด์เก๋า หอยนางรม-น่ำเอี๊ยง-เด็กสมบูรณ์

ธุรกิจครอบครัวที่ผ่านรุ่น 3 ไปได้ต้องทำอย่างไร ? เราจะพาไปดูวิธี ‘ทรานฟอร์มธุรกิจให้รอด’ จาก 3 แบรนด์เก๋า: หอยนางรม - น่ำเอี๊ยง - เด็กสมบูรณ์" ​ ที่ไม่เพียงรักษามรดกครอบครัวไว้ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ​