SME ต้องตามติด! ปัญหา‘สหรัฐฯ–อิหร่าน’ ส่งราคาสินค้าขึ้น-ลงแบบไม่ทันตั้งตัว
Share:

Main Idea
- จากปมความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าผันผวนในตลาดโลก
- ทองคำ น้ำมัน ครองแชมป์ผันผวนเป็นเบอร์ต้นๆ ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคยังทรงตัว ซึ่งคาดแต่หากยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบไม่ใช่แค่ราคาสินค้า แต่อาจรวมถึงเศรษฐกิจโลกด้วย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ส่งผลต่อการทำธุรกิจของ SME อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มาต้นปีนี้เริ่มศักราชใหม่ก็เปิดศึกขึ้นมาอีกรอบกับ อิหร่านที่สร้างความวิตกกังวลไปทั่วโลก เหตุเพราะกลัวสถานการณ์จะลุกลามบานปลายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในแต่ละครั้งที่เกิดสงครามการค้าหรือการเมืองใหญ่ๆ มักส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าให้เกิดความผันผวนขึ้น - ลงจนน่าเป็นห่วง และแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
มาดูกันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้ราคาสินค้าใดถูก สินค้าใดแพงขึ้นกันบ้าง!

มองย้อนประวัติศาสตร์
ก่อนที่จะไปดูว่าสินค้าชนิดใดราคาถูกหรือแพงขึ้น ลองย้อนประวัติศาสตร์ของโลกที่ส่งผลกระทบแต่ละครั้ง เวลาเกิดวิกฤตทางการเมืองหรือมีสงครามเกิดขึ้น โดยมีการเก็บสถิตข้อมูลไว้ว่า ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 2457 - 2461) และสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2482 - 2488) พบว่าราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคทั่วไป ข้าวของเครื่องใช้ อาหาร และน้ำดื่มต่างถีบตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเกือบ 2 เท่าทุกครั้ง เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดสงคราม โดยมีสินค้าเจ้าประจำที่ครองแชมป์ราคาผันผวนมากที่สุด และมักสูงขึ้นก่อนเพื่อน ก็คือ ทองคำ และน้ำมัน นั่นเอง

ทองคำ - น้ำมัน แชมป์เจ้าประจำตลอดกาล
หลังจากร้างลา ทั่วโลกอยู่กันอย่างสงบไม่มีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นมานานนับศตวรรษ ซึ่งก็เป็นผลดี แต่ยังมีสงครามการเมืองและสงครามการค้าเกิดขึ้นอยู่ประปราย แน่นอนว่าแม้ไม่ส่งผลกระทบกับทั่วโลกอย่างรุนแรงเหมือนกับสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่ในแต่ละครั้งที่เกิดความขัดแย้งขึ้น ก็มักส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศนั้นๆ รวมถึงหลายประเทศทั่วโลกด้วยเช่นกัน
โดยครั้งนี้ก็เช่นกัน สินค้าที่เปราะบางและได้รับผลกระทบแทบจะทันที ซึ่งส่อแววเพิ่มสูงขึ้น ก็คือ “ทองคำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานว่าราคาทองคำโลก (Spot Gold) พุ่งไปแตะจุดสูงที่สุดในรอบ 7 ปี หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา และทำให้ราคาทองในไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แต่ดูเหมือนว่าอาจเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ภายหลังการแถลงการณ์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวว่า อเมริกาจะไม่ตอบโต้ทางทหาร แต่จะใช้วิธีคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแทน บวกกับเหตุการณ์ความพลิกผันเมื่อประชาชนอิหร่านได้ชุมนุมประท้วงเพื่อขับไล่ผู้นำของตนในกรณียิงเครื่องบินยูเครนตก ทำให้ราคาทองโลกได้ลดลงและกลับสู่ภาวะก่อนหน้านั้น ราคาทองในประเทศไทยก็ปรับลดตามไปด้วย
จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า สำหรับการลงทุนแล้ว ในขณะนี้ควรรีบซื้อทองหรือนำทองมาขายเลยดีหรือไม่?
โดยจากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ระบุว่า ราคาทอง ณ ตอนนี้ยังคงมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก จึงไม่แนะนำให้ลงทุนซื้อหรือเทขายทองคำปริมาณมากในช่วงนี้

ส่วนด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ราคาน้ำมันโลกดีดตัวขึ้นราว 5.7 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากการสำรวจราคาน้ำมันจากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา พบราคาน้ำมันในไทยมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ยราว 50 สตางค์ในทุกประเภท

สินค้าอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค ยังทรงตัว
สำหรับด้านสินค้าอุปโภคบริโภค และยารักษาโรค พบว่า ยังทรงตัว มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามกลไกตลาดเท่านั้น ซึ่งจากฐานข้อมูลราคาสินค้าออนไลน์บน Priceza.com พบว่าราคาขายปลีกและขายส่งสินค้าเกษตรของกรมการค้าภายใน และราคายากลางจากกระทรวงสาธารณะสุข ยังไม่พบการปรับขึ้นราคา รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค อาหาร น้ำดื่มต่างๆ ด้วย

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่าเหตุการณ์ดังกล่าวยังเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน จึงอาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมให้เห็นชัด แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรนิ่งนอนใจ เนื่องจากยังไม่มีบทสรุปของเหตุการณ์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน และยังไม่สามารถคาดเดาได้แน่ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะลุกลามเพิ่มมากขึ้นหรือสงบลงได้เมื่อไหร่ในรูปแบบใด ซึ่งหากยืดเยื้อบานปลาย ก็อาจไม่ใช่แค่ราคาสินค้าเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่อาจรวมไปถึงสภาพเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้
ฉะนั้นผู้ประกอบการ SME จึงควรหมั่นติดตามข่าวสารอยู่เสมอ อย่างน้อยๆ หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จะได้ตั้งรับ หรือหาทางหนีทีไล่ได้ทัน
ที่มา : Priceza
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
Topics:
Share:
Related Articles
มีของดีทำไมต้องทิ้ง แบรนด์ระดับโลกแห่ใช้ “เนื้อโกโก้” เป็นวัตถุดิบ เติมความหวานในอาหารแทนน้ำตาล
เรียกว่ายิงปืนทีเดียวได้นกหลายตัวเลยก็ว่าได้เมื่อ “เนสท์เล่” เปิดตัว “Incoa” ดาร์กช็อกโกแลตที่ปราศจากน้ำตาลแต่สร้างความหวานด้วยการผสมเนื้อของผลโกโก้..
Plant-Based ไม่ได้ไปสุดแค่ของกิน Allbirds ใช้หนังจากพืช 100 % ผลิตรองเท้า
Allbirds แบรนด์รองเท้าจากซานฟรานซิสโก ผลิตรองเท้าหนังทางเลือกที่ทำจาก Plant Leather หรือ แผ่นหนังที่มีส่วนผสมจากพืชทั้งหมดเป็นครั้งแรกของโลก
Alchemista ธุรกิจจัดเลี้ยงในบอสตัน ผลิต Food Locker ตู้เสิร์ฟอาหารฝีมือเชฟ ตอบรับเทรนด์บริโภคแบบไร้สัมผัส
เมื่อมีโควิดระบาด ธุรกิจจัดเลี้ยง (Catering) ได้รับผลกระทบแน่ๆ Alchemista จึงพลิกวิกฤตมาสร้างโอกาสให้กับธุรกิจ ด้วยการจดสิทธิบัตรและเปิดตัว food loc..