กสอ.ดึงไอเดีย 4.0 ปรับภาพลักษณ์เครื่องสำอางไทย ปี 60
Share:
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เผยอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน มูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท โดยในปี 2559 กสอ.ได้จัดกิจกรรม “Thailand Cosmetic Contest 2016” มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินงานของ กสอ. พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย ต้องแก้ปัญหาหลัก 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ปัญหาด้านนวัตกรรม 2. ปัญหาด้านมาตรฐาน 3. ปัญหาด้านภาพลักษณ์และการสร้างตราสินค้า 4. ปัญหาด้านบรรจุภัณฑ์
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4575 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th

นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถิติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทุกเพศทุกวัยต่างหันมาให้ความใส่ใจเกี่ยวกับสุขภาพ ความงาม รวมทั้งการดูแลตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้ธุรกิจด้านความงาม คลินิกดูแลรักษาผิวพรรณ เครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นมากมายเพื่อรองรับกับความต้องการที่สูงขึ้นทุกปี ทั้งนี้ ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย มีมูลค่าตลาดรวม 2.1 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดในประเทศ 60% คิดเป็นมูลค่า 1.2 แสนล้านบาท และตลาดส่งออก 40% คิดเป็นมูลค่ากว่า 9 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี 2558) ถือเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย โดยเป็นรองแค่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เท่านั้น ทั้งนี้ ในปี 2559 มีจำนวนผู้ประกอบการเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางที่จดทะเบียนทั่วประเทศ 1,781 ราย โดยแบ่งเป็นบริษัทจํากัด 1,572 ราย ห้างหุ้นส่วนจํากัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 206 ราย และบริษัทมหาชน 3 ราย (ข้อมูลจาก : กองข้อมูลธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) เพิ่มขึ้นจากในปี 2557 ที่มีจำนวน 762 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังมีซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม เช่น สมุนไพร เคมี อาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว พลาสติก โดยจากข้อมูลพบว่ามีสัดส่วนการขยายตัวในการส่งออกต่อเนื่องในกลุ่มอาเซียน
นายพสุ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะทำให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านเครื่องสำอางของโลกได้นั้น ต้องแก้จุดอ่อนของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมให้ได้มากที่สุด โดยจากการดำเนินงานที่ผ่านมาของ กสอ. พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรม
เครื่องสำอางต้องแก้ปัญหาหลัก 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ปัญหาด้านนวัตกรรม 2. ปัญหาด้านมาตรฐาน 3. ปัญหาด้านภาพลักษณ์และการสร้างตราสินค้า 4. ปัญหาด้านบรรจุภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านนวัตกรรมถือเป็นปัญหาใหญ่ในทุกภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น กสอ.จึงมุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเร่งแก้ไขและพัฒนา ในปัญหาดังกล่าว โดยในปี 2559 ได้ร่วมมือกับ “คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง” ผู้ประกอบการการเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมต่อเนื่อง หน่วยงานวิชาการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดกิจกรรม “Thailand Cosmetic Contest 2016” โครงการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย ซึ่งเป็นการเฟ้นหาต้นแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการทั่วไปได้ โดยเป้าหมายสูงสุดเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลกที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยการตั้งต้น การพัฒนาจากองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
ด้าน นายสมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ให้ความเห็นว่า นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่มีการจัดตั้งคลัสเตอร์นี้ เพื่อร่วมมือกันผลักดันให้ธุรกิจเครื่องสำอางไทยสามารถไปได้ไกลในระดับนานาชาติ ซึ่งผลจากการรวมกลุ่มทำให้ตลาดต่างประเทศเกิดการตอบรับในตัวสินค้าไทยได้เป็นอย่างดี โดยภาพรวมแล้วเครื่องสำอางไทยมีคุณภาพและมาตรฐานที่ดี มีความได้เปรียบในเรื่องคุณค่าจากวัตถุดิบ แต่ยังเสียเปรียบในเรื่องของการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และตราสินค้าที่ยังขาดความเป็นสากล รวมทั้งนวัตกรรมในการผลิตที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ ซึ่งตนมองว่าการรวมกลุ่มภายใต้การส่งเสริมของ กสอ. จะช่วยให้เกิดการแบ่งปันแนวทางและประสบการณ์ในการพัฒนา และการร่วมมือกันทำงานในลักษณะกลุ่มเช่นนี้ จะช่วยให้เติบโตได้ในลักษณะหมู่คณะ ไม่ใช่แค่สินค้าของใครเพียงคนเดียว ทั้งนี้ เป้าหมายต่อไปของคลัสเตอร์ฯ คือการจับมือกับประเทศมหาอำนาจในด้านเครื่องสำอางได้แก่ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งตนเชื่อว่าในอีกระยะไม่กี่ปีข้างหน้า เครื่องสำอางไทยจะก้าวสู่ระดับมหภาคอย่างแน่นอน

ในมุมมองของนางลักษณ์สุภา ประภาวัต กรรมการผู้จัดการบริษัท อมาโทส จำกัด และอุปนายกสมาคมนักเคมีเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้ภูมิปัญญาแบบไทยกับการผสมผสานกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้สินค้าเครื่องสำอางไทยมีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันตลาดต่างประเทศมีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ที่ดัดแปลงจากสมุนไพรไทยซึ่งจัดว่าเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าระดับโลกเป็นอย่างสูง สำหรับสินค้าของตนเกี่ยวข้องกับการดูแลร่างกายด้วยสมุนไพร 100 เปอร์เซ็นต์ มีความต้องการในประเทศนอร์เวย์ และประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตดังกล่าวเกิดจากการวิจัยเพื่อยืนยันผลเทียบค่ากับมาตรฐานสากล มีการศึกษาทิศทางและกำลังซื้อของผู้บริโภค และการก้าวทันกระแสโดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวและศึกษาตลอดเวลา รวมทั้งนำความได้เปรียบเหล่านั้นมาเป็นอาวุธที่สำคัญเพื่อการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยให้เกิดมูลค่าและการเป็นที่ยอมรับต่อไปได้ในระดับสากล

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4575 หรือ เข้าไปที่ www.dip.go.th
Topics:
Share:
Related Articles
SME รู้ทันความเสี่ยง เลี่ยงค่าเงินผันผวน ในโครงการ FX Options
จากการที่ค่าเงินบาทผันผวนไปมา อาจจะทำให้ผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศได้รับผลกระทบ หากตั้งราคาซื้อขายหรือคำนวณต้นทุนผิดพลาด รัฐบาลจึงได้จัดทำ..
อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต แต่งตั้ง โทมัส วิลสัน ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ประกาศแต่งตั้ง โทมัส วิลสัน ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันช..
บ้านปูจัด “UpImpact” ผลักดันกิจการเพื่อสังคมให้รอดพ้นวิกฤติ ปั้น BC4C กิจการเพื่อสังคมรุ่นต่อไปในปี 2564
บ้านปู จำกัด (มหาชน) สานต่อการทำงานด้านการสนับสนุนกิจการเพื่อสังคม หรือ “Social Enterprise (SE)” ในปี 2563 ผ่านโครงการพลังเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม หรือ..