“ยานยนต์ไร้คนขับ” นวัตกรรมเปลี่ยนอนาคตจริงหรือ
Share:
Text : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์


ช่วงนี้มีแต่ข่าวดราม่าแท็กซี่ในบ้านเราทั้งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมคนขับ และการให้บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอพพลิเคชั่นของเทคสตาร์ทอัพ เจ้าที่เป็นปัญหามากที่สุดดูเหมือนจะเป็นอูเบอร์ซึ่งถูกธุรกิจแท็กซี่แบบดั้งเดิมต่อต้านอย่างหนักที่เข้ามาแย่งผู้โดยสาร และแม้จะได้รับการตอบรับดีจากผู้ใช้บริการ แต่ก็ยังเป็นเรื่องอิหลักอิเหลื่อเนื่องเพราะยังติดเรื่องของกฎระเบียบ ในโลกของธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง การนำนวัตกรรมเข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าย่อมเป็นอะไรที่ได้เปรียบและเป็นกระแสที่ต้านได้ยาก ผู้ที่ปรับตัวเท่านั้นจึงจะอยู่รอด
ขณะที่ธุรกิจแท็กซี่กำลังต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกัน การพัฒนาเทคโนโลยีก็ยังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีนี้ เราจะเห็นข่าวการแข่งกันพัฒนา self-driving car หรือรถยนต์ไร้คนขับจากค่ายต่าง ๆ ความจริงแนวคิดนี้มีการริเริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1920 แล้วแต่เพิ่งมาจริงจังในทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีค่ายรถยนต์และเทคสตาร์ทอัพหลายรายจับมือกัน อย่างกูเกิ้ลก็พัฒนารถยนต์ไร้คนขับมาตั้งแต่ปี 2009 สิงคโปร์ก็เปิดตัวแท็กซี่ไร้คนขับเมื่อปีที่แล้ว นำร่องทดลองบริการก่อน 6 คันก่อนจะให้บริการอย่างเต็มตัวในปี 2018 ของสิงคโปร์นี่ได้สตาร์ทอัพจากอเมริกาคือ NuTonomy มาร่วมมือกับภาครัฐคือองค์การขนส่งทางบกของสิงคโปร์ทำด้วยกัน เป้าหมายเพื่อลดปริมาณรถยนต์บนถนนลงจาก 9 แสนคันให้เหลือ 3 แสนคัน
ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองก็ไม่น้อยหน้า เมื่ออีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทสลา มอเตอร์สที่เข้าไปตั้งสำนักงานในดูไบก็ได้ลงนามขายรถยนต์ไร้คนขับจำนวน 200 คันให้บรรษัทแท็กซี่ดูไบ ดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่รัฐบาลยูเออีต้องการให้ 25% ของปริมาณรถบนถนนเป็นรถยนต์ไร้คนขับ แท็กซี่ไร้คนขับในดูไบจะเริ่มบริการในปี 2020 นี้
แต่สิ่งที่กำลังจะทำให้วงการแท็กซี่เปลี่ยนไปคือบรรดาผู้ให้บริการเรียกแท็กซี่ผ่านแอพฯ อาทิ อูเบอร์ก็เริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับแล้ว นำร่องที่เมืองพิตส์เบิร์ก เพนซิลเวเนียไปก่อนประมาณ 100 คัน โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างอูเบอร์กับวอลโว่ ไม่ใช่เฉพาะอูเบอร์ ข่าวล่าสุดเมื่อไม่กี่วันมานี้ Didi Chuxing แอพฯเรียกแท็กซี่อันดับ 1 ของจีนเพิ่งไปตั้งศูนย์และห้องแล็บเพื่อพัฒนารถยนต์ไร้คนขับที่แคลิฟอร์เนีย คาดว่าอีกไม่นาน จีนก็จะเริ่มให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับเช่นกัน
โลกของยานยนต์ดูเหมือนแนวโน้มจะไปในทิศทางเดียวกันคือรถยนต์ไร้คนขับจะถูกพัฒนาออกมาใช้งานมากขึ้น หลายคนเชื่อว่ามันจะเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนอนาคต และเปลี่ยนชีวิตของผู้คน อย่างน้อยก็ 2 ประเด็นคือ สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้น ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลกมากกว่า 1,300 ล้านราย ยังไม่รวมคนที่บาดเจ็บหรือพิการจากอุบัติเหตุอีก 20-50 ล้านคน มีการคาดการณ์ว่าหากรถยนต์ทั่วไปถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ไร้คนขับ อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
อีกประเด็นที่เป็นผลพวงจากการแพร่หลายของรถยนต์ไร้คนขับคืออัตราการซื้อรถยนต์ส่วนบุคคลลดลง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนซื้อรถคือระบบขนส่งมวลชนไม่อำนวยความสะดวก แต่สถิติระบุ รถยนต์ส่วนบุคคลถูกใช้งานแค่ 5% ของเวลาทั้งหมดที่ซื้อมา โดย 95% จอดทิ้งไว้เฉย ๆ หากในอนาคต แท็กซี่ไร้คนขับได้รับความนิยม เรียกปุ๊บ มาปั๊บ สนนราคาค่าบริการก็ไม่ได้แพงอะไร เมื่อนั้นผู้คนจะหันมาใช้บริการเรียกรถมากกว่า อย่างไรก็ตาม ภาพที่มโนไว้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไป
ข้อมูล
www.cnbc.com/2016/08/29/heres-what-the-future-looks-like-in-a-world-of-self-driving-cars-commentary.html
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
Topics:
Share:
Related Articles
จับตา “Double Disruption” ตัวปลุกเทรนด์ดิจิทัลปี ‘64 กับ 4 เรื่องที่ SME ต้องใช้!
ธุรกิจในตอนนี้กำลังเจอกับ Double Disruptions ซึ่งจะอยู่กับเราต่อไปอีกยาวแม้จะหมดจากโควิดไปแล้วก็ตาม และนี่คือ 9 เทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เชื่อมโยง..
ไม่ต้องเก่งทุกอย่างทำทุกฟังก์ชั่น เพราะยุคใหม่เขาชนะกันที่ Data Ecosystem
ทำทุกอย่าง พยายามเก่งมันทุกเรื่อง และคาดหวังว่าทุกสิ่งจะคงอยู่ถาวรตลอดไป ความเชื่อทั้งหมดนี้คือ “หลุมพราง” และช่องว่างมรณะ (The Death Gap) ที่นำพาหล..
Epson ใช้เทคโนโลยีพรินเตอร์ช่วยโลก “Wheel for Wild” ปั่นพิทักษ์ป่า รักษาความยั่งยืนให้สังคมไทย
เอปสัน ประเทศไทย บริษัทฯ ได้ขยายขอบเขตของงานซีเอสอาร์มาด้าน Life on Land จัดกิจกรรม Wheel for Wild เพื่อรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกั..