สูตรธุรกิจจากทายาทแบรนด์เครื่องหนัง Praco สืบทอดธุรกิจโตให้ทันยุค วางทางออกให้ทันเกม

Text : Ratchanee P.


     การสืบทอดธุรกิจครอบครัวไม่ใช่เพียงการรับไม้ต่อหรือรักษาสิ่งที่เคยสร้างไว้ หากแต่เป็นการต่อยอด สร้างสิ่งใหม่ๆ ให้ธุรกิจเติบโต และเหนือสิ่งอื่นใดคือการวางแผนทางลงให้ธุรกิจ เพราะหลายครั้งเจ้าของกิจการมักคิดถึงเพียงการเติบโต แต่กลับละเลยคำถามสำคัญที่ว่า เมื่อถึงวันที่ธุรกิจไม่ไปต่อ เราจะหาทางออกอย่างไร

     อานนท์ ทักขินทรากุล ทายาทรุ่นที่สองของแบรนด์กระเป๋าหนัง Praco สะท้อนภาพนี้ได้อย่างชัดเจน เขาไม่เพียงเข้ามารับช่วงต่อ แต่ยังนำมุมมองใหม่มาผสานกับประสบการณ์เดิม จนสามารถพาธุรกิจยืนหยัดท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ตลอดสองทศวรรษ และที่สำคัญ เขาเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการไม่กี่รายที่กล้าพูดตรงๆ ถึงการสร้างทางออกให้กับธุรกิจตั้งแต่ยังไปต่อได้ดี

สร้างเส้นทางใหม่ให้ธุรกิจครอบครัว  

     เมื่อ 20 ปีก่อน อานนท์ต้องเข้ามารับไม้ต่อธุรกิจของครอบครัวโรงงานเครื่องหนังและแบรนด์กระเป๋าหนัง Praco จากคุณพ่อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ   

     “เมื่อต้องเข้ามาทำธุรกิจของครอบครัว ผมจะคุยกับพ่อว่า ป๊าอย่ามายุ่ง ป๊ารอดูผลลัพธ์ คือผมจะทำงานแบบสไตล์ฝรั่งมีจุดเริ่มต้นคุยให้ชัดเจน แล้วให้รอดูผลลัพธ์ ว่าพอใจแค่ไหน” อานนท์เล่าย้อนให้ฟังในวันที่ก้าวเข้ามาทำธุรกิจของครอบครัว

     แม้ธุรกิจครอบครัวจะมีโครงสร้างแข็งแรงและวิธีการทำงานที่มั่นคง แต่สำหรับอานนท์เขาเห็นโอกาสที่จะสร้างเส้นทางใหม่ให้ Praco โดยไม่ซ้ำรอยการเดินทางของพ่อ เขาเลือกที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่พ่อไม่เคยทำมาก่อน  

     “ตอนนั้นเศรษฐกิจไทยยังดี เด็กจบใหม่ไฟลุกแรง แต่ถ้าเดินทางแบบพ่อก็อาจเกิดปัญหาคือความคิดขัดแย้งกัน เลยเลือกทางใหม่ เข้าในพื้นที่ที่พ่อไม่เข้า แต่ก่อนพ่อเน้น OBM มี ODM เล็กน้อย ส่วนผมไปเริ่ม OEM คือรับจ้างผลิตเลย”

     หนึ่งในก้าวสำคัญที่สร้างชื่อให้ Praco คือการร่วมงานกับ Greyhound แบรนด์แฟชั่นชื่อดังในตอนนั้น อานนท์เล่าว่า

     “หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงร่วมงานกับ Greyhound ซึ่งทำเสื้อผ้า แต่กระเป๋าและเครื่องหนังก็เป็นส่วนที่แยกกันไม่ขาดกับแบรนด์แฟชั่น การได้เรียนรู้กระบวนการทำคอลเลกชันตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ”

     ความสำเร็จจาก Greyhound ทำให้อานนท์ต่อยอดไปยังการบินไทย ซึ่งกลายเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างโปรไฟล์ให้ธุรกิจครอบครัว

     “เราต้องการสร้างโปรไฟล์ให้คนเห็น แต่ต้องได้เงินด้วย ไม่ใช่ได้แค่ถ้วยรางวัล เราเข้าไปยังการบินไทยซึ่งมีไทยช็อปอยู่ ก็เข้าไปเหมือนคนทั่วไป โทร.ไปฝ่ายจัดซื้อแล้วเขาก็โยนสายกันไปมา จุดเด่นคือเรารับวอลุ่มน้อยๆ ขณะที่คนอื่นไม่รับ ไม่ต้องสั่ง 1,000 ใบ แค่ 100 ใบเราก็ทำ หรือ 100 ใบ 2 สีเราก็รับ”

     กลยุทธ์นี้ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีออร์เดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่พิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นความสำเร็จของแนวทางใหม่ และในที่สุดก็ยอมรับวิธีการของอานนท์  

     “นี่คือจุดที่พ่อยอมรับ เพราะตัวเลขพิสูจน์ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่คำพูด จนถึงเวลาที่ต้องขยายกำลังการผลิต”

     ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาของการรับไม้ต่อธุรกิจนี้จากคุณพ่อ อานนท์ไม่เพียงรักษาลูกค้าเก่าได้ แต่ยังสามารถเพิ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาได้ ทำให้ Praco เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และสร้างชื่อในวงการเครื่องหนังและกระเป๋าอย่างต่อเนื่อง

ความอดทนและตัวเลขที่ไม่เคยโกหก

     เมื่อพูดถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Praco ธุรกิจครอบครัวด้านเครื่องหนังและกระเป๋า ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้ อานนท์ สรุปอย่างชัดเจนว่า เบื้องหลังความสำเร็จไม่ใช่เรื่องซับซ้อน หากแต่เป็นหลักการที่เขายึดถือมั่นมาตลอดเส้นทางการทำงาน

     สิ่งแรกคือความอดทน  และอีกสิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ “ตัวเลข” สำหรับเขาตัวเลขคือความจริงที่ไม่เคยหลอกใคร และเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุด

“ถ้ารุ่นก่อนวางระบบดี ตัวเลขจะบอกเองว่าธุรกิจไปต่อได้หรือไม่ แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการทำบัญชีที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ต้องเอาเงินเข้าออกให้ถูกต้อง ทุกอย่างก็จะ Flow เห็นภาพได้ชัดเจน”

     อย่างไรก็ตาม อานนท์ยังย้ำถึงอีกหนึ่งบทเรียนที่เขานำมาใช้จริงในการทำธุรกิจ นั่นคือเรื่องการสื่อสาร โดยเขาชอบประโยคหนึ่งที่โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ เคยบอกไว้ว่า “คำอธิบายที่บอกก่อนคือการชี้แจง แต่ถ้าบอกที่หลังคือการแก้ตัว”

     ประโยคนี้ยิ่งสะท้อนชัดเจนในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการทั่วโลก

     “สิ่งที่ทำให้เราอยู่รอดไม่ใช่การรอให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วค่อยแก้ แต่คือการสื่อสารกับสถาบันการเงินตั้งแต่ต้น เราเข้าไปคุยกับธนาคารตั้งแต่แรก อัพเดตตลอดว่าเรายังไหวแค่ไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร ทำให้พวกเขาเห็นสัญญาณล่วงหน้า และพร้อมจะช่วยเหลือเรา”

ธุรกิจต้องมีทางลง

     แม้จะเป็นทายาทรุ่น 2 ที่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวซึ่งดำเนินมากว่า 60 ปี แต่อานนท์กลับไม่เคยมองธุรกิจด้วยมุมมองโลกสวย เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ธุรกิจนี้เป็น Sunset มานานแล้ว โดยยกตัวอย่างใกล้ตัวที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน

     “ลองดูง่ายๆ แค่กระเป๋าสตางค์ ทุกวันนี้แทบไม่มีใครพกกันแล้ว เพราะจ่ายทุกอย่างผ่านมือถือได้หมด แม้แต่บัตรเครดิต นอกจากนี้จำนวนช่างฝีมือก็ค่อยๆ ลดหายไปเรื่อยๆ ”

     แม้อานนท์จะยอมรับว่าตลาดกำลังเข้าสู่ขาลง แต่เขามองว่าการ “ฝืนทำ” ไม่ใช่คำตอบ สิ่งสำคัญคือการคิดหาทางออกอย่างมีสติและวางแผนล่วงหน้า

     “จากประสบการณ์ที่ผมผ่านมาทั้งวิกฤตปี 2540 เหตุการณ์การเมือง รวมถึงโควิด เหล่านี้สอนให้รู้ว่าธุรกิจต้องมีทางออก ถ้าวันหนึ่งตัวเราไม่สบาย ไม่มีใครจะพาธุรกิจลงได้ คนที่มารับต่อก็ทำไม่ได้ ดังนั้นเราต้องเป็นคนเตรียมทางเอง หลายคนบอกว่าธุรกิจพังที่รุ่นลูก แต่ผมคิดว่าถ้ามันจะพัง ก็ขอให้พังที่ผม อย่าไปทิ้งภาระไว้ให้คนอื่น เพราะไม่อย่างนั้น คนที่สืบต่อจะกลายเป็นผู้ถูกตำหนิ”

     ด้วยเหตุนี้ อานนท์จึงวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจยังสามารถเคลื่อนไปได้อย่างปลอดภัย โดยเขาลดขนาดองค์กรจากโรงงานและออฟฟิศที่เคยมีพนักงาน 25–30 คน เหลือเพียงช่าง 3 คน และตัวเขา ที่ยังคงร่วมงานกัน ขณะที่ระบบการทำงานส่วนใหญ่ถูกปรับให้อยู่ในรูปออนไลน์และเอาท์ซอร์สแทน

     “ทุกวันนี้ทางลงของเราคือการ Resize ให้เล็กลงจนสามารถจัดการได้เองในออฟฟิศ สต็อกก็ทำออนไลน์ บัญชีก็เป็นระบบดิจิทัล และบางอย่างก็เอาไปจ้างนอก โรงงานเหลือเพียง 3 คน”

โมเดลธุรกิจใหม่ จากลูกจ้างสู่ “เจ้าของธุรกิจร่วม”

     “หลายคนมักมองแต่ภาพธุรกิจตอนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่ไม่เคยมองปลายทางว่าจะลงอย่างไร ถ้าคุณคิดแค่ช่วงที่อยู่ข้างบน พอหันลงมาด้านล่างก็อาจจะเจอทางตัน แต่ถ้าคุณคำนึงถึงตอนจบตั้งแต่แรก คุณจะเห็นโรดแมปทางการเงินของตัวเองชัดเจนกว่า” อานนท์เปิดมุมมองอย่างตรงไปตรงมา

     เมื่อเผชิญช่วงเวลาที่ต้องลดจำนวนทีมงาน เขากลับมองเห็น “โอกาสใหม่” แทนที่จะเป็นเพียงการตัดทอน เขาเริ่มออกแบบโมเดลธุรกิจที่ให้พนักงานก้าวขึ้นมาเป็น “เจ้าของธุรกิจร่วม”

     “ผมคุยกับพี่ช่างตรงๆ ถ้าเขายังมีแรงและอยากทำต่อ ผมพร้อมสนับสนุนเต็มที่ แต่ไม่อยากให้เขาเป็นแค่ลูกจ้างกินเงินเดือนอีกต่อไป เพราะความจริงแล้ว ผมเย็บกระเป๋าเองไม่ได้ แต่ผมหาตลาดได้ ส่วนพี่เย็บกระเป๋าเก่ง แต่หาตลาดไม่เป็น ธุรกิจนี้เบสอยู่ที่ฝีมือของพี่ ดังนั้นถ้าพี่พร้อม ผมจะหาทางหาออร์เดอร์มาเติมให้ แต่พี่ต้องลงทุนวัตถุดิบเอง ผมช่วยแอดวานซ์เงินให้ก่อน หักทีหลัง แบบนี้ทำให้เขามีเงินเก็บมากขึ้น และที่สำคัญคือเขากำลังสร้างธุรกิจของตัวเองจริง ๆ”

     อานนท์บอกว่า โมเดลนี้ไม่ใช่การผลักภาระ แต่คือการเดินไปด้วยกัน

     “ผมไม่ได้ปล่อยให้เขาเสี่ยงอยู่คนเดียว แต่ผมมีแผนรองรับว่าถ้าเขาขยับ ผมก็ขยับตาม เราไปด้วยกันทั้งหมด”

     สำหรับแบรนด์ Praco เขามองว่า “แก่นแท้” ไม่ได้อยู่ที่กระเป๋าหนังเสมอไป แต่คือคอนเซ็ปต์ความเรียบง่าย น้ำหนักเบา และฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริง นี่ทำให้ Praco สามารถยืดหยุ่นไปตามโจทย์ของลูกค้าได้หลากหลาย ตั้งแต่กระเป๋าผ้า ไปจนถึงงานออกแบบพิเศษที่ทำให้กับโครงการใหญ่ระดับประเทศและองค์กรโลก เช่น ยูเอ็น

     เมื่อถามว่ารู้สึกเสียดายไหมที่ Praco ไม่ได้ขยายใหญ่โตเหมือนในอดีต อานนท์กลับตอบด้วยรอยยิ้มว่า

     “บางคนอาจจะมองว่าทำไมไม่พยายามดันให้โตต่อ แต่เราก็ต้องยอมรับความจริง ว่าเราไม่ได้มีทีมใหญ่ ไม่ได้มีงบมหาศาล ถึงจะมีฝีมือแต่ถ้าขาดแรงดันที่มากพอ มันก็ไปต่อไม่ได้”

มุมมองจากผู้ที่ผ่านสนามจริง

     เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากไว้ให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ อานนท์เลือกหยิบยกประเด็นที่มักถูกมองข้าม นั่นคือการวางแผน “ทางลง” ของธุรกิจ ไม่ใช่แค่การหาทางออกของตัวเองเพียงลำพัง

     “อาจฟังดูเป็นมุม Negative แต่ผมบอกกับทุกคนเสมอว่า อย่าลืมหาทางลงให้ธุรกิจ เพราะธุรกิจไม่ได้หมายถึงเราคนเดียว แต่หมายถึงคนที่อยู่กับเราด้วย สมมติอีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจถึงเวลาลง ทีมงานก็ต้องมีทางไปต่อ ต้องมีแผนการเงินของตัวเอง ไม่ใช่ทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นยังไง”

     “ถ้าเราบอกว่าเราจะทำต่อ ใครอยากอยู่ก็อยู่ไปด้วยกัน แต่ต้องเตรียมวางแผนการเงินของตัวเองด้วย อย่าปล่อยให้ถึงเวลาที่บริษัทลงแล้วทุกคนไม่มีทางออก ไม่มีเงินเก็บ มันไม่ใช่ว่าอยากปิดก็ปิดได้ทันที”

     ประสบการณ์กว่า 20 ปีในสนามจริงทำให้เขาเชื่อมั่นว่า ความยั่งยืนของธุรกิจไม่ได้วัดกันที่การตลาดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมาจาก “การผลิตที่มั่นคง” และ “การบริหารการเงินที่รอบคอบ” ควบคู่กันไป

     “สิ่งที่ผ่านวิกฤตมาตลอดทำให้เห็นชัดเลยว่า ไม่ใช่แค่การขายเก่งหรือทำการตลาดเก่ง แต่คือการมองการเงินให้รอบด้าน และเตรียมทางลงให้ทั้งตัวเองและทีมงาน นั่นแหละที่จะทำให้ทุกคนรอดไปด้วยกัน” อานนท์ กล่าวในตอนท้าย

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

จากหนี้บัตรเครดิต 3 ใบสู่ร้านโมจิยอดฮิต “ผลเอยผลไม้” จัดการการเงินยังไงให้รอดวิกฤต

บางครั้งความสำเร็จไม่ได้มาพร้อมแผนที่สมบูรณ์แบบ แต่มักเกิดขึ้นจากวันที่เราถูกบีบให้สู้ ในวันที่ไม่มีอะไรจะเสีย และต้องลงสนามเหมือนกับ “นี่คือโอกาสสุดท้ายของชีวิต” เหมือนกับเรื่องราวของ กิติพัฒน์ บุญทัศน์ เจ้าของร้าน “ผลเอยผลไม้”

ละเลียดวิธีคิด สุรชัย พุฒิกุลางกูร Illustrator ไทย ผู้ยืนหนึ่งเวทีโลก

ละเลียดวิธีคิดของ สุรชัย พุฒิกุลางกูร Illustrator อันดับหนึ่งของโลก CEO แห่ง Illusion CGI Studio ที่พาสตูดิโอขึ้นแท่นเป็น No.1 ของโลกติดต่อกันถึง 11 ปี เขามีวิธีคิดและกลยุทธ์อย่างไร ถึงพาธุรกิจไปได้ไกลขนาดนี้

Top Table บาร์ปิงปอง มิติใหม่การแฮงค์เอาท์ เมื่อโค้ชกีฬาผันตัวมาทำธุรกิจ ฮอต! จนคืนทุนได้ใน 2 เดือน

จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถดื่มแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ขณะเดียวกันก็ได้ออกกำลังกาย มีเกมสนุกๆ ให้เล่นได้ด้วย “Top Table” บาร์ปิงปองแห่งแรกของสิงคโปร์ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา การดื่ม และพบปะสังสรรค์ได้อย่างลงตัว