Text: VaViz
Photo: สุนันท์ ล้อสมทรัพย์
คุณว่าการทำโปรดักต์ใหม่ที่ตลาดไม่คุ้นเคยมาก่อน กับการเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เคยชินกับการใช้ของเดิม อะไรยากกว่ากัน? ถ้าคิดว่าอย่างแรกก็ยาก อย่างหลังก็ไม่ต่างกัน ลองมาฟัง อรกานต์ และ โทมาช โพรคาสคา สองผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Pynpy’ เจ้าของนวัตกรรมกางเกงในอนามัย ที่เจอกับความท้าท้ายที่ว่ามาแบบคูณสองตั้งแต่ Day 1
หากย้อนไปเมื่อราว 5 - 6 ปีก่อน เราคงไม่คุ้นกับคำว่ากางเกงในอนามัยกันสักเท่าไรว่ามันคืออะไร หรือมีขึ้นเพื่อใช้งานแบบไหน หรือแม้กระทั่งทั้งสองจะบอกว่า เป็นกางเกงในที่ใช้ซึมซับประจำเดือนแทนผ้าอนามัย คิ้วของใครหลายๆ คนก็คงผูกโบว์อยู่ดี
“เรียกได้ว่าเราเป็นคนสร้างตลาดนี้ขึ้นมา เป็นแบรนด์แรกของไทยที่ทำเรื่องนี้ เพราะตอนนั้นยังไม่มีตลาดกางเกงในอนามัย ซึ่งถือว่ายากสุดๆ เพราะต้องทำทั้งการให้ความรู้ เชิญชวน สื่อสารว่าสินค้าคืออะไร รวมถึงสร้างแคมเปญเกี่ยวกับการมาพูดถึงประจำเดือนกันเถอะ พร้อมทั้งสนับสนุนการเปิดกว้างของผู้ที่มีประจำเดือนตั้งแต่ช่วงแรกๆ”
ตัดภาพมาที่ปัจจุบันที่กางเกงในอนามัยนั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีคนเข้าใจมากขึ้น แน่นอนว่า Pynpy’ ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้เป็นอย่างดี แล้วอะไรล่ะคือเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ยังคงยืนหนึ่งในวงการ?
We are All Human…เพราะเราคือมนุษย์ไม่ต่างกัน
แม้ว่าประจำเดือนจะให้ภาพที่มาคู่กับผู้หญิง แต่ทั้งอรกานต์และโทมาชไม่เคยนิยามว่า Pynpy’ เป็นแบรนด์ที่ทำโปรดักต์ให้ “ผู้หญิง” แต่เป็น “ผู้ที่มีประจำเดือน” นั่นเพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะมีวันนั้นของเดือน แต่ยังรวมถึงชาว LGBTQIA+ ด้วย
“เราพยายามสื่อสารตลอดว่า We are all human ทุกคนคือมนุษย์ โดยแต่ละคนก็มีเงื่อนไขในชีวิตไม่ต่างกัน อย่าง Pynpy’ ก็ไม่ได้เกิดจากการที่เราเป็นผู้หญิงอย่างเดียว แต่เกิดจากการที่ผู้ชายเข้าใจผู้หญิงหรือผู้ที่มีประจำเดือนว่า ต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งนี้ก็คือการที่มนุษย์เข้าใจซึ่งกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกว่าเป็นเพศอะไร”
นอกจากนี้ แบรนด์ยังพูดตลอดว่า เรื่องประจำเดือนไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงคนเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคน โดยคนที่ไม่มีประจำเดือนควรจะมี Empathy หรือความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจว่า คนที่มีประจำเดือนเขารู้สึกยังไง เขาทุกข์ขนาดไหน ทั้งเรื่องทางอารมณ์และร่างกาย และจะทำยังไงให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ได้บ้างเท่านั้นเอง
“เราสนับสนุนมาตั้งแต่แรกๆ อยู่แล้วว่า ไม่อยากให้มองว่า คนนี้เป็นผู้หญิง คนนี้เป็นผู้ชาย แล้วใครหน้าที่อะไร เพราะทุกคนก็เป็นมนุษย์ แล้วทุกคนก็มีอำนาจตัดสินใจของตัวเองที่อยากทำให้ชีวิตของตัวเองนั้นดีที่สุด”
|
ชวนคุย Q: มองเรื่องการแจกผ้าอนามัยฟรีในบ้านเรายังไง อย่างที่เห็นว่ามีทั้งกลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่ออกตัวค้าน ในขณะที่หลายประเทศเดินหน้าเรื่องนี้กันแล้ว A: เราไม่ได้มองว่า การให้ผ้าอนามัยฟรีเป็นเรื่องของ Privilege หรือว่าเป็นเรื่องของ Benefit แต่เป็นเรื่องของ Standard ที่ทำให้เกิดความเท่าเทียม เนื่องจากผู้ที่เกิดมามีประจำเดือนนั้นเลือกไม่ได้ และนี่คือพื้นฐานของการใช้ชีวิต A: ถ้ารู้สึกว่าการแจกผ้าอนามัยฟรีมันใหม่เกินไป ให้ลองเปรียบเทียบหรือนึกภาพง่ายๆ ว่า ทำไมรถเมล์หรือรถไฟฟ้าต้องมีที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุและคนพิการ เหตุผลง่ายๆ คือเขาจะได้ใช้ชีวิตได้เหมือนเรา ทำนองเดียวกันกับแจกผ้าอนามัยที่ไม่ใช่เรื่องของ Privilege หรือใครจะได้ ไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องของ Empathy เป็นเรื่องของความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง Q: อีกเรื่องที่มาแรงไม่แพ้กันคือสิทธิลาวันที่มีประจำเดือน มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง A: เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากเลย ถ้าเราเคยไปคุยกับคนที่มีประจำเดือนจริงๆ จะเห็นว่ามีถึงขนาดที่ต้องไปโรงพยาบาลหรือว่าต้องพักอยู่บ้านแบบที่ทำอะไรไม่ไหวก็มี แต่ยังไงก็ตามก็ต้องอยู่ในขอบเขตว่าจะให้ลาได้กี่วัน จะต้องเป็นประมาณไหนถึงจะไม่มากเกินไปเท่านั้นเอง เพื่อไม่ให้ความเท่าเทียมมันกลายเป็น Privilege ดังนั้น ต้องหาจุดกึ่งกลางที่ทำให้เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตที่ดีได้ แต่ไม่ได้เกินหน้าเกินตาใคร ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีกทีหนึ่ง Q: คิดว่าเดือนหนึ่งควรให้หยุดกี่วัน ในเมื่อการปวดแต่ละคนไม่เท่ากัน คนหนึ่งทนทำงานไหว อีกคนไม่ไหว จะทำยังไงไม่ให้กลายเป็น Privilege อย่างที่บอก A: ต้องใช้การ Research หาความเหมาะสม เพราะแต่ละบริษัทก็มีลักษณะงานที่แตกต่างกัน มีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนใช้ความคิดเยอะ บางคนใช้ร่างกายเยอะก็ต้องทำการทดลองตามลักษณะงานนั้นๆ ว่าควรจะให้หยุดกี่วันหรือ Work from Home กี่วันในตำแหน่งนั้นๆ อาจจะลองดูสัก 3 เดือนว่าได้ผลไหม กระทบงานไหม หรือว่าตัวคนที่เป็นประจำเดือนเขารู้สึกดีขึ้นกับ Work-life Balance ไหม ถ้าผลออกมายังไม่ดีก็ทดลองทำใหม่ไปเรื่อยๆ |
Feedback is a Gift…ฟังลูกค้า ได้ลูกค้า
นอกจากเรื่องของนวัตกรรมที่เป็นแก่นแล้วนั้น หัวใจสำคัญอีกอย่างที่ทำให้แบรนด์แข็งแรงได้ในวันนี้คือการฟังเสียงลูกค้ามาตั้งแต่วันแรก ซึ่งทุกโมเดลของ Pynpy’ นั้นเกิดจากการฟัง Feedback ของลูกค้าทั้งหมด
“ตอนแรกเราเปิดตัวกางเกงในอนามัยแค่รุ่นเดียว แต่หลังจากที่ฟัง Feedback จากลูกค้าว่าเขาอยากได้ทรงกางเกงในแบบนี้ ประจำเดือนเขามาเยอะกว่านี้ ก็ทำให้เราออกรุ่นถัดมาให้รองรับประจำเดือนได้มากขึ้น รวมถึงรุ่นต่อๆ ไปก็มาจากเสียงของลูกค้าทั้งหมด”
และเพราะการฟัง Feedback จากลูกค้านี่เอง ที่ทำให้แบรนด์แตกไลน์สินค้าใหม่ออกมาเป็น “กางเกงซึมซับปัสสาวะเล็ด”
“แม้ว่าตอนแรกเราจะโฟกัสไปที่ประจำเดือน แต่ระหว่างทางที่เราได้ฟัง Feedback ของลูกค้ามาเรื่อยๆ โดยเสียงของพวกเขายังเกิดเป็น Community ของ Pynpy’ ทำให้เราเห็นโอกาสต่อยอดพัฒนาสินค้าอย่างกางเกงซึมซับปัสสาวะเล็ด สำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาไอจามขึ้นมา”
ทั้งนี้ การเก็บ Data ไม่ใช่แค่เก็บมาเฉยๆ แต่ต้องวิเคราะห์ว่าแต่ละคนต้องการอะไรและตอบสนองให้ตรงจุด โดยเฉพาะในยุคที่ลูกค้าต้องการ “สินค้าของฉัน” หรือที่ตอบโจทย์ได้แบบ Personalised นั่นเอง
|
ชวนคุย Q: บางที SME มีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือก็จริง แต่ไม่รู้วิธีที่จะนำมาต่อยอดหรือใช้ให้ถูกต้อง พอจะมีคำแนะนำเรื่องการนำ Data มาใช้บ้างไหม A: ของเราทำเป็นแบบ Agile Development คือเก็บข้อมูล à วิเคราะห์ à พัฒนา à ทำการทดสอบ วนลูปแบบนี้ตลอดเวลา เพราะว่าถึงจะเป็นโปรดักต์เดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่เมื่อบริบทสังคมและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ผลที่ออกมาก็ต่างกันได้ |
Problem is Gold…รู้ปัญหาพา Win!
สุดท้าย การจะพาแบรนด์ไปให้ไกลและยืนหนึ่งได้ในวงการ แม้จะไม่เคยมีใครเจาะตลาดมาให้ก่อน หนีไม่พ้นการเข้าใจว่า “ปัญหาของลูกค้านั้นคืออะไร?”
“ก่อนที่จะทำสินค้า เราต้องเข้าใจจริงๆ ก่อนว่า ปัญหานั้นมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แล้วค่อยคิดต่อว่าเราจะแก้ไขปัญหานั้นยังไง ดังนั้น Empathy จึงไม่ใช่แค่คำสวยๆ แต่เราต้องเข้าอกเข้าใจลูกค้าจริงๆ ว่าเขามีปัญหาตรงนี้ เสิร์ฟสินค้าเขาอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเราจะทำเพื่อขายของเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าเราเข้าใจลูกค้าจริงๆ เขาจะมาซื้อของจากเราเอง”
เพราะฉะนั้น แบรนด์จึงมองตัวเองว่าเป็นนักแก้ปัญหา ดังนั้น พอเจอปัญหาก็จะหาวิธีแก้ไขให้ตรงจุด ทำการทดลอง ออกโปรดักต์ รับฟัง Feedback และนำไปพัฒนาโปรดักต์ต่อวนไปเรื่อยๆ
“เราต้องมองให้ออกว่าปัญหาแต่ละอย่างนั้นมีแพทเทิร์นยังไง เป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ไหมหรือว่าเกิดกับเราแค่คนเดียว ถ้าเป็นปัญหาของคนส่วนใหญ่ให้วิเคราะห์ว่า มีรากร่วมกันยังไง จะใช้วิธีไหนแก้ไข เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง”
ทั้งนี้ การทำงานของแบรนด์จะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ Data วิศวกรสิ่งทอ หรือว่าสูตินารีแพทย์ เพื่อให้เข้าใจปัญหาและคิดค้นสินค้าที่จะเป็นคำตอบของลูกค้าให้ดีที่สุด
“เราไม่ได้เป็นคนที่รู้ทุกอย่างในบริษัท
เราไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด
ถ้าเราคิดว่าเราเก่งที่สุด บริษัทจะเติบโตไม่ได้”
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี