![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097070.png)
Main Idea
- ถ้าพูดถึงแบรนด์น้ำจิ้มสุกี้ชื่อดังของไทย หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “ตราพันท้ายนรสิงห์” รวมอยู่ด้วยแน่นอน แต่รู้ไหมว่ากว่าจะเติบโตเป็นกิจการใหญ่โตขายอยู่ในประเทศ และส่งออกไปไกลกว่า 40 – 50 ประเทศทั่วโลกอย่างทุกวันนี้ แบรนด์เริ่มต้นกิจการมาจากรถเข็นขายข้าวเกรียบกุ้งและน้ำพริกเผาเล็กๆ มาก่อน
- จากกิจการรถเข็นเล็กๆ ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเติบโตกลายเป็นธุรกิจพันล้านไปได้ อยากรู้ลองเปิดขวดเหยาะน้ำจิ้มปรุงรสลงไป และไปติดตามรสชาติความสำเร็จพร้อมๆ กัน
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097031.png)
ถ้าพูดถึงแบรนด์ “พันท้ายนรสิงห์” สำหรับผู้บริโภคชาวไทยเอง คงรู้จักกันดีในชื่อของน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ด แต่สำหรับตลาดในต่างประเทศแล้วพันท้ายนรสิงห์เป็นที่รู้จักมากมายในฐานะเจ้าของสินค้ากลุ่มเครื่องปรุงรสและเครื่องจิ้มนานาชนิด แต่รู้ไหมว่ากว่าที่จะมาเป็นน้ำจิ้มสุกี้ที่โด่งดังของไทย หรือผู้นำเครื่องปรุงรสมากมายของเอเชียที่ส่งขายไปกว่า 40 – 50 ประเทศทั่วโลก แบรนด์ได้เริ่มต้นกิจการมาจากรถเข็นเล็กๆ ขายข้าวเกรียบมีน้ำพริกเผาเป็นเครื่องจิ้มและเป็นเอกลักษณ์ของสินค้า
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097100.png)
Cr. Pantainorasingh
จุดเริ่มต้นของแบรนด์พันท้ายนรสิงห์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2505 โดย “สมศักดิ์ - สุรีย์ วัฒนาพร” สองสามีภรรยาคนขยันผู้เริ่มต้นกิจการจากร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งหน้าโรงหนังในตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร แต่แล้วต้องประสบปัญหาจากเหตุไฟไหม้ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนมาขายข้าวเกรียบซึ่งเป็นกิจการเดิมของที่บ้าน โดยเริ่มจากใส่ถุงเร่ขายตามท่าเรือให้ชาวประมง สถานีรถไฟมหาชัย และบนโบกี้รถไฟ
เมื่อเห็นว่าได้รับการตอบรับที่ดีจึงได้ขยับขยายมาขายต่อยังกรุงเทพฯ โดยนำรถเข็นใส่ขึ้นรถไฟมาลงที่สถานีวงเวียนใหญ่ และเข็นขายเดินข้ามตั้งแต่สะพานพุทธ ผ่านปากคลองตลาด และสิ้นสุดที่ตลาดนัดท้องสนามหลวงในยุคนั้น จากข้าวเกรียบกุ้ง ก็เริ่มเพิ่มสูตรมาเป็นข้าวเกรียบปู ข้าวเกรียบปลากระพง ข้าวเกรียบเผือก และอีกหลายตัวตามมา
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097206.png)
Cr. Pantainorasingh
หลังจากเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีคนเลียนแบบประกอบกับมีลูกค้าเริ่มถามหาน้ำจิ้มมากินกับข้าวเกรียบ จึงได้มีการทำน้ำพริกเผาออกมาแถมให้กับลูกค้า จนตอนหลังลูกค้าเกิดติดใจในรสชาติ จึงได้แตกไลน์ธุรกิจทำน้ำพริกเผาออกมาขายด้วย และได้มีการจดทะเบียนการค้าขึ้นในปี 2505 โดยชื่อแรกที่ใช้นั้นคือ “ตราสุวรรณหงษ์” มาก่อน แต่เมื่อเห็นว่ามีคนจดทะเบียนไว้แล้ว จึงได้เปลี่ยนมาเป็น “ตราพันท้ายนรสิงห์” อย่างที่รู้จักกันจนปัจจุบัน
เมื่อกิจการเติบโตขึ้นจากตลาดนัดท้องสนามหลวง ก็เริ่มมีการออกตลาดกระจายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นตามงานแสดงสินค้าต่างๆ อาทิ งานกาชาด งานวชิราวุธ และมีการจัดตั้งโรงงานขึ้นมาหลังจากที่ผลิตเล็กๆ อยู่ในครัวเรือนเมื่อปี 2510 พร้อมผลิตเป็นน้ำพริกรสชาติต่างๆ ออกวางจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น อาทิ น้ำพริกนรก น้ำพริกตาแดง น้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกปลาร้า น้ำจิ้มไก่
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097233.png)
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097371.png)
จากที่ผลิตขายอยู่ในประเทศ บริษัท อุตสาหกรรมพันท้ายนรสิงห์สินค้าพื้นเมือง จำกัด ได้เริ่มหันมาบุกตลาดต่างประเทศขึ้นในปี 2517 ซึ่งแนวคิดในการทำตลาดต่างประเทศของแบรนด์พันท้ายนรสิงห์นั้นมีความน่าสนใจไม่น้อย โดยเน้นทำตลาดกับคนไทยที่อพยพย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในแถบประเทศต่างๆ ซึ่งมีความคิดถึงรสชาติแบบเอเชีย เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย โดยนอกจากเป็นการทำตลาดกับคนไทยในต่างแดนแล้ว ยังมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่รสชาติแบบไทยๆ และเอเชียให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวโลกด้วย
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097455.png)
Cr. Pantainorasingh
ในส่วนของที่มาน้ำจิ้มสุกี้ที่กลายเป็นสินค้าโดดเด่นและขายดีในประเทศนั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณปี 2528 มีการสร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นมาเพื่อผลิตเครื่องปรุงรสและซอสต่างๆ กระทั่งในปี 2542 ได้มีการขยายโรงงานแห่งใหม่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนพื้นที่กว่า 82 ไร่ ตำบลกาหลง สมุทรสาคร
ปัจจุบันแบรนด์พันท้ายนรสิงห์ส่งออกสินค้าไปกว่า 100 ชนิด กว่า 40 - 50 ประเทศทั่วโลกทั้งในกลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมทั้งประเทศแถบโซนเอเชียด้วย ร้านอาหารไทยในต่างแดนกว่า 80 - 90 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็นลูกค้าจากแบรนด์พันท้ายฯ ทำให้แต่ละปีนั้นมียอดการส่งออกสินค้าเครื่องปรุงรส เครื่องจิ้ม และซอสต่างๆ ไปต่างประเทศมากกว่าหลายพันล้านบาททีเดียว สำหรับตลาดในประเทศนั้นมีสินค้ากว่า 17 ชนิด ตัวที่ทำรายได้เป็นอันดับหนึ่ง ก็คือ น้ำจิ้มสุกี้ ซึ่งสร้างรายได้กว่าปีละ 850 ล้านบาท หรือประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายในประเทศทั้งหมด โดยในปี 2559 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 2,291 ล้านบาท กำไร 478 ล้านบาท
![](https://www.smethailandclub.com/images/image/1594097476.png)
Cr. Pantainorasingh
สุดท้ายส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงใช้ชื่อแบรนด์ว่า “พันท้ายนรสิงห์” นั้น เป็นเพราะมีความเคารพและศรัทธาในความซื่อสัตย์ของพันท้ายนรสิงห์วีรบุรุษของไทย ซึ่งก็เหมือนกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่ยืดถือในความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคตามสโลแกนที่ตั้งไว้ว่า “พันท้ายนรสิงห์ อร่อย! คำไหน…คำนั้น” ที่ทุกคำยังคงรักษาคุณภาพมาตรฐานเอาไว้ตามคำสัญญา
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมธุรกิจเอสเอ็มอี