พลิกชีวิตจากคนเมืองปลูกผักไม่เป็น สู่เกษตรกรใบปริญญาเอก เจ้าของฟาร์มเลม่อน ที่ขายอะไร คนก็รอซื้อ

Text : Surangrak Su.


     เคยคิดเล่นๆ ไหมว่า หากไม่ได้เป็นตัวเองอยู่ในตอนนี้ ชีวิตคุณจะพลิกผันเป็นอะไรได้บ้าง?

     จากนั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ บริหารธุรกิจคลินิกทันตกรรม 4 แห่งร่วมกับสามี ซึ่งเป็นทันตแพทย์ วันหนึ่งเมื่อรู้ตัวว่าป่วยด้วยโรค SLE ดรุณี วัฒน์นครบัญชา ก็ตัดสินใจปรับเปลี่ยนตัวเอง มีวินัยในการดูแลตัวเองมากขึ้น จากชอบกินน้ำอัดลม ขนมหวาน ก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาว ฯลฯ ทุกอย่างปรับเปลี่ยนใหม่หมด ใช้ชีวิตเข้าสู่โหมดวิถีธรรมชาติบำบัด จนจับพลัดจับผลูมาเป็นเจ้าของฟาร์มเลม่อน ทั้งที่ทำเกษตรไม่เป็นมาก่อน แต่สุดท้ายกลายมาเป็นด็อกเตอร์ เรียนจบปริญญาเอกด้านเกษตร ที่ทำผลิตภัณฑ์แปรรูปออกมามากมาย ทั้งของกิน ของใช้ เครื่องสำอาง ภายใต้แบรนด์ Pasutara - พสุธารา ที่แปลว่า “ดิน และน้ำ” รวมกัน ที่ไม่ว่าจะขายอะไรออกมา ก็มีแต่ลูกค้ารอซื้อตลอด

ป่วย เปลี่ยนชีวิต

     ดรุณี เล่าว่าย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน เธอตรวจเจอว่าป่วยเป็นโรค SLE ภูมิแพ้ตัวเอง หรือ “โรคพุ่มพวง” ทางเลือกที่มีในตอนนั้น คือ หนึ่ง : รักษาการแพทย์แผนปัจจุบันตามปกติ โดยใช้ยาสเตียรอยด์ ที่อาจตามมาด้วยการฟอกไต เจาะไขสันหลัง และอื่นๆ สอง : หันกลับมาดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดด้วยวิถีธรรมชาติ กินดี นอนดี แน่นอนดรุณีเลือกทางที่สอง เธอตัดสินใจหักดิบเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ตัดทุกอย่างที่เคยชอบ น้ำอัดลม, ก๋วยเตี๋ยว, ข้าวขาว, ผลไม้รสหวาน, ขนมปังเบเกอรี่ โดยขอเวลากับครอบครัว 3 เดือนว่าหากไม่ดีขึ้น จะกลับไปรักษาด้วยวิธีแรก ผลปรากฏผ่านไปเพียง 2 เดือนครึ่ง ร่างกายดีขึ้น น้ำหนักลดลง หน้าไม่บวม เอนไซม์ตับที่เคยสูง, โปรตีนรั่วในไต, จอตาดับ ทุกอย่างดีขึ้นหมด จึงทำให้ยึดแนวทางนี้ในการดำเนินชีวิตมาตลอด กระทั่ง 10 ปีต่อมา มีรุ่นน้องที่สนิทมาเสนอขายที่ดินในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เธอจึงตัดสินใจช่วยซื้อไว้

     “พอเราเริ่มเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง ก็อยากใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น ตอนนั้นมีที่ดินอยู่อำเภอสวนผึ้ง 43 ไร่ มีคนมาขอซื้อต่อให้กำไร 14 ล้าน ตอนแรกก็ว่าจะขาย เราเป็นคนเมืองทำเกษตรไม่เป็น แต่วันนั้นกำลังจะขับรถขึ้นไปรับเงินมัดจำงวดแรก ได้เห็นสายหมอกทอดยาวปกคลุมเทือกเขาตะนาวศรี ด้านหลังที่ก็มีลำธาร รู้สึกเสียดาย เลยไม่ขาย จากนั้นก็เริ่มไปบ่อยขึ้น จากปีละครั้งสองครั้ง ก็ไปทุกเดือน จนเริ่มไปเกือบทุกอาทิตย์ ไปเช้า-เย็นกลับ จนคนที่บ้านเริ่มเป็นห่วง ก็เลยเริ่มสร้างที่พักไว้ที่นั่น ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไร ก็เริ่มปลูกผักสวนครัวเล็กๆ น้อยๆ เอาปอเทืองมาลงบ้าง ออกดอกสีเหลืองบานเต็มทุ่ง อะไรออกลูกเราก็ถ่ายโพสต์ลงในเฟซบุ๊กเรื่อยๆ จนเริ่มมีคนติดตาม”

     ดรุณีเล่าว่าเธอเริ่มสนุกกับการได้ทดลองทำเกษตรด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง จากที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงลองมองหาพืชมาปลูก เพื่อสร้างรายได้ จนมาสรุปที่เลม่อน ซึ่งถือเป็นพืชใหม่ในไทยที่นำเข้าจากต่างประเทศในตอนนั้น แต่ด้วยความเป็นมือใหม่และไม่ได้วางแผนให้ดี ผลเลม่อนล็อตแรกที่ได้ ทำให้ต้องตัดใจทิ้งไปจำนวนมาก จนเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการนำมาแปรรูปต่อยอด และเป็นธุรกิจขึ้นมา

     “ช่วงปีแรกๆ ที่ได้ผลผลิตออกมา ตอนนั้นยังไม่มีตลาด ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เลยต้องตัดใจทิ้งไปเปล่าๆ เพราะให้ใครไป ก็กินกันไม่หมด เป็นความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้เริ่มมาหาความรู้เพิ่มเติม เลยทดลองเอามาทำเป็นน้ำผึ้งเลม่อน เคยไปเห็นที่ญี่ปุ่นเขาทำกัน แต่กว่าจะได้ ก็ทิ้งไปเยอะมาก เป็นร้อยๆ ถัง หมดเงินไปแสนกว่าบาท พอได้ตัวน้ำผึ้งเลม่อนแล้ว ก็อยากลองทำเป็นขนม เลยลองเอาชิ้นเลม่อนไปอบด้วยความร้อนต่ำ ทำออกมาเป็นเลม่อนสไลด์ ลองเอาให้เพื่อนให้คนในครอบครัวกิน  ปรากฏว่าชอบกันมาก จนไม่อยากได้ฟรีแล้ว อยากจะขอซื้อ เพราะมันอร่อยมาก และบอกว่าขนมนี้ต้องไปวางขายอยู่ในสยามพารากอนให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็ได้วางขายอยู่ที่สยามพารากอนจริงๆ จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์”

ลบคำสบประมาทด้วยใบปริญญาเอก

     ดรุณีเล่าว่า ด้วยความเป็นคนเมืองที่ไม่เคยทำเกษตรแบบจริงจังมาก่อน ทำให้ถึงแม้จะทุ่มเทอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่พ้นคำสบประมาทตามมา ซึ่งในไทย ณ เวลานั้นคนปลูก คนเพาะพันธุ์ที่สามารถทำได้ดี มีอยู่แล้ว แต่ก็คนที่ศึกษาเรื่องการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตออกมาดีที่สุด ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมที่สุด ยังไม่มี

     จึงเป็นเหตุผลให้เธอได้ลงศึกษาต่อหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมูบ้านจอมบึง จังหวัดราชบุรี ปี 2567 โดยทำวิจัยในหัวข้อ “การทำนายระดับการสุกของมะนาวฝรั่งด้วยวิธีผสมผสานระหว่างโครงข่ายประสาทเทียมแบบสังวัฒนาการ และโครงข่ายประสาทเทียมแบบวนกลับ”

     “ตอนนั้นคิดแค่ว่า ในเมื่อเรื่องปลูก เราอาจสู้เขาไม่ได้ เพราะมีคนปลูกเก่งๆ อยู่แล้ว เราเลยลองมาศึกษาเรื่องการเก็บผลผลิตให้ได้ประสิทธิภาพมากสูงสุด จนในที่สุดก็สามารถทำได้สำเร็จ ได้รับการนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิทยาศาสตร์ Przegląd Elektrotechniczny ด้วย นอกจากนี้ก็ยังได้รับโอกาสดีๆ และรางวัลอีกมากมาย อาทิ รางวัลนักธุรกิจสตรีอนุรักษ์โลกตัวอย่าง ประจำปี 2567 จากสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ปีที่แล้วเราก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ไทยที่ได้ขึ้นบิลบอร์ดอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิที่รัฐบาลอยากผลักดันให้ส่งออก ล่าสุดในเดือนมิถุนายนนี้ผ่านมา เราได้รับเกียรติเป็น 1 ใน 4 แบรนด์ไทยที่ได้ไปร่วมงาน World Expro 2025 ที่ประเทศญี่ปุ่น”

นักการตลาด โดยกำเนิด

     ดรุณีเล่าว่าตั้งแต่ที่ทำธุรกิจมาเกือบสิบปี เธอไม่เคยลงโปรโมตโฆษณา หรือทำการตลาดจริงจังสักที ทุกอย่างล้วนเป็นการตลาดที่เกิดขึ้นเองแบบธรรมชาติ โดยไม่ได้ผ่านการวางกลยุทธ์ใดๆ นอกจากความจริงใจที่มีให้กับลูกค้า มีหลายเหตุการณ์สำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นในความผูกพันอันดีที่เกิดขึ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้ จนเป็นเหตุผลว่า ไม่ว่าจะผลิตอะไรออกมา ก็มีแต่คนรอซื้อ ตัวอย่างเช่น

  • กล่องสุ่มช่วยเพื่อนชาวกทม.จ่ายตลาด

     “ตอนนั้นวิกฤตโควิด-19 เรารู้สึกว่าในขณะที่คนอื่นโลกภายนอกเขาเดือดร้อนกันเยอะ แต่ทำไมเรารู้สึกว่าเรารวยมาก เรามีอากาศที่ดี มีของกินปลูกอยู่เต็มไร่ ไก่ออกไข่วันละ 30 ฟอง ในขณะที่คนในเมืองจะออกไปไหนก็ลำบาก ห้างปิด ตลาดปิด ก็เลยคิดโครงการขึ้นมาเล่นๆ ตั้งชื่อว่า “จ่ายตลาดเพื่อเพื่อน กทม.” ใครไม่สะดวกเดี๋ยวเราช่วยจ่ายให้ โดยนำของจากในไร่นี่แหละ และก็จากไร่ข้างเคียงรวมใส่กล่องแล้วส่งให้ ขายกล่องละ 400 บาท โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก บอกว่าเดี๋ยวเราส่งไปให้ก่อน ยังไม่ต้องจ่ายเงิน เพราะก็ยังไม่เคยส่งมาก่อน ไม่รู้ของจะเน่าไหม ผลปรากฏว่าเน่าไปเกือบ 50% แต่ปรากฏว่าทุกคนก็จ่ายมาให้ครบ จากนั้นก็ลองออกแบบเป็นเมนูกับข้าวอื่นๆ ให้เขาด้วย เช่น ช่วงนี้เอามันไปต้มน้ำขิงไหม, เอาปลาสลิดไปทอดไหม รวมๆ แล้วตอนนั้นเราขายวัตถุดิบทั้งหมดไปได้ 2-3 หมื่น กก.เลยทีเดียว มันเป็นความเชื่อใจที่เกิดขึ้น จนเกิดเป็นสังคมแฟนคลับระหว่างแบรนด์กับลูกค้า”

  • ขายคูปองแลกสินค้า กู้วิกฤตน้ำท่วม

     “หรืออีกช่วงหนึ่งที่ไร่พสุธาราเราน้ำท่วม ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง ต้องฟื้นฟูเยอะมาก ท่วมทั้งไร่ ท่วมทั้งที่พัก ทุกอย่างไปหมด ก็เลยโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า เราอยากจะหาเงินซ่อมแซม แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไร เลยอยากจะขายคูปองราคา 8,000 บาท เพื่อเอามาใช้แลกสินค้าได้ตลอดทั้งปีในราคา 10,500 บาท ผลปรากฏว่า 7 วัน เราขายคูปอง โดยยังไม่มีสินค้าอะไรเลยได้เงินมา 4.7 ล้านบาท เป็นความประทับใจที่ไม่มีวันลืมเลย เป็นความผูกพันที่เหนี่ยวมาจนทุกวันนี้ ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไรออกมาขาย ก็จะมีกลุ่มคนช่วยซัพพอร์ตเราอยู่เสมอ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาในช่วงไฮซีซั่นปลายปี เราเลยประกาศแจกบ้านพักราคา 2,500 บาท จำนวน 10 ห้อง จัดกิจกรรมให้ลูกค้ามาพักฟรี เต็มยาวตลอด 3 เดือน ประมาณ 600 ห้อง เป็นการตอบแทน โดยไม่ได้เลือกจากยอดซื้อ แต่เราเลือกคนที่เป็นลูกค้าเราจริงๆ”

คุณภาพ และความเชื่อใจ

     ปัจจุบันสินค้าของแบรนด์พสุธารา มีผลิตออกมามากกว่า 60 SKU ทั้งของกิน ของใช้ เครื่องสำอาง สินค้าขึ้นชื่อที่เป็นที่รู้จักดีของแบรนด์ ได้แก่ เลมอนสไลด์ ส่วนสินค้าที่ทำรายได้ให้กับธุรกิจมาก ก็คือ กลุ่มสกินแคร์ เครื่องสำอางต่างๆ ช่องทางการจำหน่ายปัจจุบันนอกจากทางออนไลน์ Facebook, TikTok แล้ว ก็มีหน้าร้านประจำที่ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ด้วย เป็นคาเฟ่เล็กๆ ให้นั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มได้ ไปจนถึงฝากวางสินค้าตามห้างสรรพสินค้าและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ สยามพารากอน, เอ็มควอเทียร์, คิงพาวเวอร์, ไอคอน สยาม, เลม่อนฟาร์ม, ไร่องุ่นการ์มอนเต้

     “ธุรกิจของพสุธารา เราเริ่มจากสิ่งที่เราทำแล้วคิดว่าดี เราดูจากตัวเองเป็นหลัก เพราะเราก็เป็นคนใช้ของคุณภาพมาตลอด เราเชื่อว่าคนซื้อของ ไม่ใช่เพราะราคาถูก ถ้าเลือกได้ เขาก็อยากซื้อของที่มีคุณภาพ ดังนั้นเราจึงไม่คิดแข่งขันเรื่องราคา แต่มุ่งที่คุณภาพเป็นหลัก เราเองก็เคยใช้เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์แพงๆ 4 ขวดราคาเป็นแสนก็มี แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่ทำไม่ได้น้อยหน้ากว่านั้นเลย เราขายในราคากระปุกละ 4,800 บาท โดยฝีมือคนไทย แต่เรามีวัตถุดิบเอง เลยจัดเต็มได้ บางแบรนด์ที่ราคาแพงส่วนหนึ่งมีค่าการตลาดด้วย แต่เราไม่มี ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นรายได้หลักของแบรนด์เลย ต่อให้มีคู่แข่ง ทำออกมาเหมือนกัน เขาก็ไม่มีวัตถุดิบแบบเรา”

     นอกจากเลม่อนแล้ว ทุกวันนี้ที่ไร่พสุธารา ยังมีพืชทำเงินชนิดอื่นๆ เช่น โรสแมรี, เลมอนบาล์ม (พืชตระกูลเดียวกับมินท์) รวมอยู่ด้วย ไปจนถึงยังขยายฐานการผลิตไปยังจังหวัดอื่นๆ เช่น ภาคเหนือ เพื่อปลูกวัตถุดิบ โดยเน้นการปลูกโดยใช้วิธีธรรมชาติ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ตามความตั้งใจของดรุณีที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรก เพื่อผลิตพืชพันธุ์ที่ปลอดภัยให้แก่ผู้คน

     และนี่คือ เรื่องราวของคนเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าทำเกษตรไม่เป็น แต่วันนี้เธอ คือ เกษตรกรเต็มตัว

     “ความภูมิใจมากๆ ของเราในตอนนี้ คือ เรารู้สึกว่า เป็นเกษตรกรเต็มตัวแล้ว จากที่เคยคิดว่าเราด้อยที่ต้นน้ำ ปลูกไม่เก่ง เลยไปเรียนเพิ่มเพื่อเอางานวิจัยมาสู้ อย่างน้อยปลูกไม่เก่ง ก็ให้เก็บเก่ง จนแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมามากมาย แต่ในวันนี้ปี พ.ศ 2568 และต่อๆ ไปเรื่อยๆ เราเชื่อว่าเรื่องต้นน้ำเราก็ไม่แพ้ใคร ปีที่ผ่านมาเราสามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำบอกลูกน้องได้ว่าปลายปีนี้เลม่อนต้องเต็มสวนนะ ต้องทำยังไงบ้าง ใช้วิธีไหน ซึ่งมันก็เต็มจริงๆ คนมาเที่ยวกันเยอะมาก เราจึงประกาศตัวเองว่าเป็นเกษตรกรได้แล้ว” ดรุณีกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้

     ข้อมูลติดต่อ

     FB : Pasutara พสุธารา 

     โทร.092 254 4199

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

“จี่เกีย” เปลี่ยนความคลั่ง(ไคล้) เป็นไอเดีย สร้างร้านอาหารอีสาน สันดานญี่ปุ่น

เมื่อ หมู-ฑิฆัมพร ศรีคำแหง ตัดสินใจกลับไทย หลังจากใช้เวลากว่า 12 ปีในองค์กรญี่ปุ่น เขามองหาเส้นทางใหม่ และคำตอบที่ได้ก็คือ อาหารอีสาน + ความหลงใหลในวัฒนธรรมแดนปลาดิบ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของร้านอาหารอีสาน สันดานญี่ปุ่น

Low Carbon = โอกาสธุรกิจ 3 เด้งของ SME เปิดประตูส่งออก-ขายของให้รัฐ สร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต

ถ้า SME ไทยมองเห็นก่อน ปรับตัวไว ก็จะคว้าโอกาสทองจาก “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy)” ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ได้ช่วยโลก แต่ยังได้ “ลดต้นทุน + เปิดประตูสู่ตลาดใหม่” และนี่คือภาพรวมเส้นทาง ของ SME ที่จะวิ่งได้ไกลกว่าที่คิด

ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย  ร้านขายข้าวต้มออนไลน์ ที่ใช้ DATA ทำธุรกิจ หนึ่งปียอดโต 400 เท่า

ร้านขายข้าวต้มออนไลน์ที่ใช้ Data ทำธุรกิจ จนมียอดขายต่อเดือนเพิ่มขึ้นได้ 400 เท่าภายในหนึ่งปี จากยอดขายหลักพันบาท สู่หลักแสนบาทต่อเดือน ร้านข้าวต้มเล็กๆ ที่ทำกันอยู่แค่ 2 คน ทำได้อย่างไร ลองมารู้จักกับพวกเขากัน