6 เคล็ดลับ ป้องกันลูกจ้างจอมฉก

 


     ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากคาดคิดหรอกว่า พนักงานที่เราจ้างมาจะแอบขโมยเงินหรือสินค้าในร้านจากเราไป แถมส่วนใหญ่แล้วร้านค้าปลีกมักถูกลูกจ้างยักยอกทรัพย์สินบ่อยอย่างไม่น่าเชื่อ

     บริษัท Jack L. Hayes International (เป็นบริษัทให้คำปรึกษาและมีโปรแกรมป้องกันในหลายๆ ด้าน รวมถึงวิธีรับมือพนักงานโกงเงินบริษัท) ได้ทำการสำรวจร้านค้าที่ถูกโจรกรรมก็พบค่าเฉลี่ยว่าลูกจ้างมีโอกาสขโมยเงินและสร้างความเสียหายต่อร้านค้าได้มากกว่าการถูกลูกค้ามาขโมยของจากทางร้านโดยตรงถึง 5.5 เท่า

     ใครที่เริ่มวิตกกังวลว่าพนักงานจะแอบล้วงเงินจากลิ้นชักไป ลองอ่าน 6 เคล็ดลับ ป้องกันขโมย จาก Jennifer Goforth Gregory ผู้มีประสบการณ์ด้านงานเขียนและเชี่ยวชาญในงานเขียนเกี่ยวกับธุรกิจขนาดเล็กมากว่า 18 ปี ดูก่อน คุณอาจจะสบายใจขึ้น (งานของเธอได้รับการนำไปลงในเว็บ MSN Money, FOX Business, Intuit Small Business Blog และ American Express)
 


1.    สืบประวัติพนักงานก่อนให้เขาทำหน้าที่สำคัญ

     สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือการให้พนักงานที่ติดยาเป็นคนถือเงินหรือคุมแคชเชียร์ เพราะพนักงานที่มีพฤติกรรมติดยา มีโอกาสที่จะขโมยเงินเพื่อไปเสพยาสูงมาก ทางที่ดีลองสืบประวัติของพนักงานก่อนรับเข้าทำงานด้วย หากพนักงานมีประวัติมีเพื่อนติดยา หรือเกี่ยวข้องกับการลักเล็กขโมยน้อยมาก่อน พยายามอย่าให้เขาทำหน้าที่ถือเงินเป็นดีที่สุด

2. ลองใช้ระบบบัดดี้

     ระบบบัดดี้ในที่นี้ไม่ใช่ให้จับฉลากแล้วแอบเอาของไปให้กันนะ แต่หมายถึงว่าการแอบขโมยของจากพนักงาน มักเกิดขึ้นตอนพนักงานอยู่เพียงลำพัง ดังนั้น ลองเพิ่มจำนวนพนักงานที่ประจำบูธหรือแคชเชียร์เก็บเงินเป็น 2 คน ก็จะช่วยลดโอกาสการถูกขโมยได้บ้าง อย่างไรก็ดี ต้องพยายามเปลี่ยนคู่บัดดี้บ้าง ไม่เช่นนั้นหากบัดดี้ 2 คน เป็นจอมอมเงินมือยงทั้งคู่ขึ้นมา มันจะแย่  
 


3. กล้องวงจรปิดช่วยคุณได้

     คำถามมีอยู่ว่า เวลาคนจะขโมยของพวกเขากลัวอะไร คำตอบคือกลัวคนเห็น ดังนั้น การติดกล้องวงจรปิดช่วยคุณได้ในระดับหนึ่งแน่นอน เพราะมันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังถูกคุณจับตามองอยู่ตลอดเวลา แล้วไม่ใช่แค่ตรงแคชเชียร์นะ เพื่อความปลอดภัยควรติดตั้งกล้องบริเวณห้องเก็บของกับจุดส่งของด้วย ซึ่งถ้าได้กล้องความคมชัดระดับสูงที่สามารถระบุหน้าตาได้ด้วยยิ่งดี

4. ตรวจสอบถังขยะ

     ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าพนักงานหัวใสอาจขโมยเงินหรือสิ่งของแล้วใส่ไว้ในถุงหรือถังขยะก่อนจะแกล้งนำออกไปทิ้งข้างนอกตอนกลับบ้าน ซึ่งหัวหน้าส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากยุ่งกับถังขยะแน่นอน สบโอกาสให้พนักงานหัวใสใช้ประโยชน์จากขยะไปแบบเต็มๆ วิธีแก้ทางคือจัดวางถังขยะให้เป็นที่ ใช้ถุงแบบใส สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ หรือใช้กล่องที่แบนราบเรียบ (ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ ในต่างประเทศจะใช้ถังขยะแบบล็อคได้)
 


 

5. ให้พนักงานช่วยกันจับตามอง

     สำหรับบริษัทใหญ่ๆ ต้องใช้วิธีประกาศให้พนักงานทราบและช่วยกันระวังขโมย โดยบริษัทจะมีรางวัลให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสหัวขโมยสุดแสบได้ ซึ่งคุณอาจสร้างอีเมล์ขึ้นมารับเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือสร้างกล่องรับเรื่องราว (เป็นกล่องเหล็กแบบล็อคได้นะ) ที่ห้องพักของพนักงานก็ได้ การใช้วิธีนี้จะทำให้ขโมยต้องคิดซ้ำหลายครั้ง เพราะมีคนจ้องจับตามองทั้งบริษัท

6. คุณต้องรู้จักดูแลพนักงานของตัวเองด้วย

     หัวขโมยส่วนใหญ่บอกว่ามันเป็นเรื่องง่ายในการขโมยของจากคนที่ไม่รู้จัก แต่มันเป็นเรื่องยากหากให้ขโมยของจากคนที่รู้จักและหวังดีกับเขา นอกจากนี้ถ้าคุณให้พนักงานทำงานที่เครียดๆ ยิ่งต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น เพราะความเครียดจะกระตุ้นให้เกิดการขโมยได้ หากเห็นพนักงานเครียด ลองให้พวกเขาพักแล้วไปทำงานพิเศษส่วนอื่นเช่นงานการกุศลเพื่อผ่อนคลายความเครียดบ้าง อย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเชียว เพราะพนักงานที่ทำงานอย่างมีความสุขและเห็นว่าหัวหน้าคอยดูแลเอาใจใส่ ย่อมซื่อสัตย์และลดโอกาสที่เขาจะขโมยของหรือคิดร้ายกับคุณไปจนหมดสิ้น  

create by smethailandclub.com

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย