รู้หรือไม่ บริษัทมีกำไรสูงขึ้น 15% แค่ฝ่ายขายกับฝ่ายการตลาดไม่ทะเลาะกัน วิธีทำลายกำแพงสองแผนกให้เป็นหนึ่ง

 

 

      มีผลวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อทีมขาย ทีมการตลาด และผลิตภัณฑ์ขององค์กรมีความสอดคล้องกัน บริษัทนั้นจะมีรายได้เติบโตเร็วขึ้น 19% และทำกำไรได้สูงขึ้น 15%

      ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองทีมต่างก็มีความสำคัญต่อธุรกิจไม่แพ้กัน แต่หลายองค์กรมักเจอปัญหาที่น่าหนักใจคือ ทั้งสองทีมมักเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ดังนั้นหากทำให้ทีมขายและการตลาดเป็นหนึ่งเดียวผลประกอบการธุรกิจของคุณย่อมดีขึ้นแน่นอน เหมือนกับที่มีการวิจัยว่าเมื่อการขาย การตลาด และผลิตภัณฑ์ขององค์กรมีความสอดคล้องกัน องค์กรนั้นจะบรรลุการเติบโตของรายได้เร็วขึ้น 19% และความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น 15% ต่อไปนี้เป็นสามวิธีในการไปถึงเป้าหมายดังกล่าวจาก Ben Goldstein ผู้ซึ่งเคยทำงานบริษัท B2B ที่ทีมขายและการตลาดไม่คุยกัน หรือจะพูดง่ายๆ ว่าเธอเคยอยู่ในองค์กรที่ฝ่ายขายและการตลาดเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย เถียงกันจนถึงมีบางคนต้องร้องไห้ในลานจอดรถ

      หากฝ่ายขายและนักการตลาดในบริษัทคุณเป็นเหมือนกัน นี่คือสามสิ่งที่จะทำให้ทีมขายและการตลาดของคุณหยุดการต่อสู้

1. ปฏิบัติต่อทั้งสองทีมเสมือนเป็นทีมเดียว

      การรักษาความตึงเครียดระหว่างการขายและการตลาดเริ่มต้นด้วยการดึงทีมขายและนักการตลาดออกจากการทำงานแบบ silo ต่างฝ่ายต่างทำงานแยกกันเป็นแผนกใครแผนกมัน แต่เปลี่ยนการทำงานของพวกเขาให้เป็นทีมเดียวกัน

      เหตุผลก็คือ เมื่อพวกเขาได้ทำงานร่วมกันเป็นทีมแล้ว ทำให้เกิดการพูดคุยในฐานะเพื่อนร่วมทีม และความใกล้ชิดความคุ้นเคยทำให้เกิดสิ่งที่น่าอัศจรรย์ขึ้น อาทิ เริ่มมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ฝ่ายขายเริ่มส่งต่อข้อมูลเชิงลึกที่พวกเขาได้รับจากการโทรคุยกับลูกค้านำไปให้นักการตลาด การกำหนดเป้​​าหมายแคมเปญได้ตรงโดนใจลูกค้ามากขึ้นกว่าเดิม

“การทำงานเป็นทีมทำให้ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไป ตระหนักว่าความสำเร็จของบริษัทขึ้นอยู่กับการพึ่งพากันและกัน”

2. ตั้งเป้าหมายร่วมสิ่งเดียว

      นอกจากการสื่อสารและทำงานกันใกล้ชิดมากขึ้นแล้ว สิ่งที่สร้างความสามัคคีระหว่างสองแผนกได้ดีคือ การมีเป้าหมายร่วมกันเพียงจุดเดียว ในกรณีของการขายและการตลาด เป้าหมายร่วมกันควรจะเป็นการโฟกัสรายได้ที่มากขึ้น

     แต่โดยทั่วไปที่พบเห็นบ่อยๆ ในบริษัทที่ฝ่ายขายกับการตลาดมีปัญหากัน ส่วนหนึ่งมาจากแต่ละทีมมักมีเป้าหมายต่างกัน อาทิ นักการตลาดมีเป้าหมาย ตัวเลขของยอดการเข้าชมเว็บไซต์ และสถิติบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ในขณะที่ทีมขายมีเป้าหมายที่จำนวนการโทรหาลูกค้า เป็นต้น

     ทุกครั้งที่คุณมีเกณฑ์วัดความสำเร็จที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายก็จะมุ่งทำให้ตัวเองได้ตามเป้าหมายของตน แต่ถ้าคุณสามารถทำให้ทีมขายและทีมการตลาดมีเป้าหมายหนึ่งเดียวคือ เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น พวกเขาจะใช้เวลาน้อยลงในการไล่ตามตัวชี้วัดที่ไร้สาระ ซึ่งได้รับอิทธิพลอย่างง่ายดายและไม่ส่งผลกระทบ จากนั้น พวกเขาสามารถใช้เวลามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จคือ การสร้างรายได้องค์กรให้สูงขึ้น

3. ฐานข้อมูลเดียวกัน

     หลายครั้งที่ทีมขายและทีมการตลาดไม่ลงรอยกันมาจากเหตุผลง่ายๆ คือ พวกเขาไม่มีข้อมูลเดียวกัน ทีมขายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้า รายชื่อ เบอร์โทร ฯลฯ ในทางกลับกัน เวลาฝ่ายการตลาดทำแคมเปญที่ต้องส่งอีเมลให้ลูกค้าก็อาจมีอีกหนึ่งฐานข้อมูล ซึ่งอาจแตกต่างจากทีมขาย

     มันอาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล เพราะบางครั้งนักการตลาดไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยหรือส่งข้อมูลไปให้กับใคร เป็นลูกค้าประจำ, อดีตลูกค้า ผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า เพราะคำตอบสำหรับคำถามนั้นมีอยู่ใน CRM ของฝ่ายขายที่นักการตลาดไม่สามารถเข้าถึงได้

    “ทำไมสมาชิกบางคนถึงบอกให้หยุดส่งข้อความ เพราะมีข้อความมากมายที่ส่งไปหาเขาภายในหนึ่งเดือน ทั้งๆ ที่ทีมการตลาดเพิ่งส่งอีเมลเพียงฉบับเดียว นี่คือผลลัพธ์ของการแยกข้อมูล คือการส่งข้อความมากเกินไป และโอกาสที่พลาดไปนับไม่ถ้วน การใช้แหล่งข้อมูลเดียวกัน ช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้และช่วยให้นักการตลาดเข้าใจดีขึ้นว่าความพยายามของพวกเขาขับเคลื่อนผลลัพธ์การขายอย่างไร”

หนึ่งทีม หนึ่งเป้าหมาย หนึ่งเครื่องมือ

      แนวคิดข้างต้นอาจจะฟังดูเป็นแนวคิดง่ายๆ แต่การนำไปใช้จริงนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องมีตัวช่วยเช่น การนำเทคโนโลยีมาช่วยเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น และคุณไม่สามารถคาดหวังให้ทีมขายและทีมการตลาดทำงานร่วมกันได้เลย ถ้าพวกเขากำลังเล่นเกมที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเริ่มต้นด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างรายได้

ข้อมูลจาก :https://www.entrepreneur.com/article/414435

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย