เมื่อเฟซบุ๊กไม่แคร์สื่อ แบรนด์ต้องปรับตัวให้ว่องเดินหน้าให้ไว!

Text: Yuwadi.s 





Main Idea
  • หลังจากที่เฟซบุ๊กได้ส่งสัญญาณให้สื่อและแบรนด์ต่างๆ ที่ทำคอนเทนต์ในเฟซบุ๊กว่าเขาจะลดการมองเห็นลงเพื่อสร้างสังคมในเฟซบุ๊กที่เน้นเรื่องของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและเพื่อนมากขึ้น
 
  • สื่อและแบรนด์จึงต้องเริ่มขยับตัวให้เร็ว เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ไว ไม่ยึดติดและพึ่งพิงเฟซบุ๊กมากเกินไปเพราะในวันหนึ่งที่ยุคของเฟซบุ๊กหมดลงจะได้ไม่รู้สึกว่าแบรนด์ของคุณถูกทิ้งไว้กลางทาง
___________________________________________________________________________________________


     สัญญาณถูกส่งมาสักพักแล้วจากเฟซบุ๊กว่าพวกเขาเริ่มไม่แคร์เหล่า Publisher หรือสื่อออนไลน์อีกต่อไป ด้วยจำนวน Reach ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดพร้อมทั้งมีการออกมาพูดถึงเรื่องนี้จาก Campbell Brown หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรข่าวทั่วโลกของเฟซบุ๊ก เธอได้ออกมาพูดผ่านงานประชุมสื่อในออสเตรเลียว่ามาร์กไม่สนใจเรื่องของสื่ออีกต่อไปและให้เธอเข้ามาสะสางสิ่งที่ค้างไว้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง เธอได้บอกต่อว่าจะช่วยให้สื่อมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพราะในไม่กี่ปีข้างหน้าจะดูเหมือนว่าเฟซบุ๊กต้องจับมืออยู่กับธุรกิจที่กำลังจะตายอีกทั้งยังเมินเรื่องการพูดถึงเรื่องของทราฟฟิกเพราะนั่นคือโลกเก่าที่ไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีกแล้ว





     ด้วยการประกาศของ Brown สอดคล้องกับท่าทีของเฟซบุ๊กที่ลดอัตราการมองเห็นของสื่อและแบรนด์ ทั้งที่โฆษณาจากสื่อและแบรนด์คือช่องทางหลักในการสร้างรายได้ให้เฟซบุ๊ก 1 ในบุคคลที่คลุกคลีอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของเฟซบุ๊กคือ ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) ผู้ให้บริการด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง โดยธนพลได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่าเฟซบุ๊กจะมีการทำตาม Mission ที่เขาตั้งไว้มากขึ้น เริ่มต้นจากการปรับสมดุลระหว่าง Relationship และ Publisher


     “ก่อนหน้านี้เฟซบุ๊กได้มีการทดลองปรับอัลกอริทึมกับสำนักข่าวต่างๆ สร้างแท็บใหม่ขึ้นมาให้คนคลิกอ่านจากตรงนั้น Mission ของเฟซบุ๊กคือเขาอยากที่จะ Connect People สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่พี่น้อง เพื่อน ครอบครัว เน้นเรื่อง Relationship มากกว่า สำนักข่าวหรือแบรนด์ก็จะรู้สึกเลยว่าอยู่ดีๆ อัตราการมองเห็นก็ลดลง ต่ำลงพร้อมกันทุกที่ ส่วนหนึ่งเพราะเฟซบุ๊กให้ความสำคัญกับตรงนี้น้อยลง ซึ่งเขาเองกำลังหาจุดสมดุลอยู่ระหว่างรายได้ที่มาจากโฆษณา พอโฆษณาเยอะเกิน คนก็ไม่พอใจ แต่ถ้าไม่มีโฆษณา เขาก็ขาดรายได้ และจะมีการปรับ ทดลองอยู่ตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าจุดสมดุลของเขาอยู่ตรงไหน เพียงแค่รู้ว่าตอนนี้ Direction ของเขาชัดเจน คอนเทนต์ของแบรนด์และสื่อต่างๆ จะมี Reach ที่ต่ำลง”
 




สำหรับสิ่งที่แบรนด์และสื่อต้องทำเพื่อหนีตายจากการโดนเฟซบุ๊กเทในครั้งนี้คือ
  1. โฟกัสที่เนื้อหาและอย่ายึดติดกับ Chanel
     ธนพลได้แนะนำว่าสื่อและแบรนด์ต้องเข้าใจว่าตนเองเป็น Content Provider ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ยังต้องโฟกัสในเรื่องของสิ่งที่ตนเองทำแต่อย่ายึดติดกับช่องทางใดช่องทางหนึ่ง

     “ถ้ามี Line ให้ทำ Line@ ทำเฟซบุ๊ก ทำยูทูป มีอะไรมาต้องจับให้อยู่ ดูว่าคนอยู่ตรงไหนเยอะ ต้องเข้าไปตรงนั้น อย่างในตอนนี้ประเทศไทยก็มีกระแส Podcast เข้ามา ต้องพิจารณาดูว่าคอนเทนต์ที่มีอยู่สามารถทำได้ไหม ถ้าหากทำได้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ”
 
  1. ปรับตัวให้ไวที่สุด
     ในเรื่องของการปรับตัว ธนพลได้ออกความคิดเห็นว่าคนที่จะปรับตัวไวที่สุดคือสื่อ ตามมาด้วยผู้บริโภคจบท้ายด้วยแบรนด์ที่มักจะมีการปรับตัวช้าที่สุด

     “แบรนด์จะเป็นอะไรที่ปรับตัวช้าที่สุด เพราะเขาจะรอดูก่อนว่าคนอยู่ตรงไหน คนจะขยับไปทางไหน เขาถึงจะขยับตาม พวกสื่อจะขยับก่อน เหมือนเขาเห็นอะไรเขาก็จะปรับก่อน พอขยับทีหนึ่งคนก็จะตามไป”
เพราะฉะนั้นแบรนด์อาจจะต้องเริ่มขยับตัวให้ไวขึ้นเพื่อที่จะได้ตามผู้บริโภคได้ทัน
 
  1. อย่าขังตัวเองไว้ที่แพลตฟอร์มเดียว
     ช่วงก่อนหน้านี้หลายคนเน้นการสร้างเว็บไซต์ ทำแอพพลิเคชั่นของแบรนด์เพื่อดึงให้คนเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเองและไม่พาตัวเองไปอยู่ในแพลตฟอร์มอื่นเลย วิธีนี้อาจจะเป็นการผูกมัดตัวเองมากเกินไป ไม่เวิร์คในระยะยาว

     “สังเกตดูว่าคนที่เขาปรับตัวเก่งๆ จะไม่ได้ยึดแพลตฟอร์ม เช่น พวก Workpoint หรือ Grammy เมื่อก่อนคนอาจจะคิดว่าเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มดีที่สุด พยายามสร้างแพลตฟอร์มตัวเอง ไม่เน้นแพลตฟอร์มอื่นเลย เดี๋ยวนี้คนเริ่มเรียนรู้ว่าถ้าทำแบบนั้น ตายอย่างเดียว ไม่รอด สุดท้ายต้องดูว่าคนอยู่ตรงไหน เราต้องไปอยู่ตรงนั้น การทำแพลตฟอร์ม ต้องเสียแรงโปรโมต เสียเงินลงทุน บางทีอาจจะไม่คุ้ม”
 
  1. ใช้บิ๊กดาต้าให้เป็นประโยชน์
     ธนพลได้ปิดท้ายว่าในยุคนี้เป็นยุคของบิ๊กดาต้าที่ใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงผู้คน การสื่อสารในสมัยก่อนจะเป็นการหว่านแหเพื่อคุยกับคนส่วนมาก แต่ยุคนี้สามารถใช้ข้อมูลมากมายเพื่อ Customize การสื่อสารให้เข้ากับกลุ่มลูกค้าที่แท้จริง  

     “ผมว่านี่คือยุคที่ใช้เทคโนโลยีในการ Reach คน สมัยก่อนคือ Mass Communication สื่อสารหว่านไปทั่วให้คนเห็นเยอะๆ แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยีเข้ามาทำให้เรารู้ว่าใครที่ต้องการสินค้าของเรา เราก็สามารถสร้างการสื่อสารเพื่อคุยกับแค่คนๆ นั้น ไม่ต้องเหวี่ยงแหแล้ว เวลาที่เราทำอะไรบนโลกออนไลน์ กดไลค์อะไร ชอบอะไร เทคโนโลยีมันแทร็กได้หมด”
 

     การทำธุรกิจในยุคนี้จะเน้นการสร้างสินค้าหรือการขายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องให้ความสำคัญในการสื่อสารกับผู้คนด้วย ที่สำคัญอย่าหยุดอยู่แค่แพลตฟอร์มเดียว อย่างหลายแบรนด์ที่พึ่งพิงเฟซบุ๊กมากเกินไป คงต้องเริ่มมองหาช่องทางอื่นๆ มากขึ้น เผื่อวันหนึ่งที่ยุคของเฟซบุ๊กหมดลง ธุรกิจของคุณจะได้รู้สึกว่าไม่ถูกทิ้งไว้กลางทาง






www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

6 เทรนด์เมนูมาแรง ปี 2026 ที่ธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม ต้องรู้ก่อนพลาดโอกาส!

เมนูที่ดีไม่เพียงทำให้คน “อยากกิน” แต่ยังทำให้คน “อยากแชร์” อีกด้วย วันนี้จะพาไปรู้จักกับ 6 เทรนด์เมนูอาหารและเครื่องดื่มต้อนรับปี 2026

ธุรกิจเล็กก็ชนะได้ ถ้าเข้าใจ Trust Economy กลยุทธ์ใหม่ที่เร่งยอดขายได้จริง ในยุคที่ความเชื่อใจขาดแคลน

ธุรกิจเล็กอาจไม่มีงบมาก แต่ถ้ารู้จัก “Trust Economy” ก็สร้างแบรนด์ให้เติบโตเร็วกว่าได้ แม้ไม่มีงบโฆษณาหลักล้าน เพราะในยุคที่ข้อมูลปลอม รีวิวปลอม และการตลาดที่พูดเกินจริงล้นโซเชียล “ความเชื่อใจ” กลายเป็นสินค้าหายากที่สุดในตลาดวันนี้

เสื้อยืดไก่ทอดหาดใหญ่ แฟชั่นอร่อย ไอเดียขายเสื้อสุดครีเอท ใครเห็นก็อยากลองซื้อไปกิน เอ้ย! ลองใส่

ไอเดียเสื้อยืดลายไก่ทอดหาดใหญ่ ที่หยิบเอากระดาษห่อข้าวเหนียวไก่ทอด หมูทอด มาทำเป็นแพ็กเกจจิ้งสินค้า และเพิ่มความเหมือนอารมณ์ข้าวเหนียวไก่ทอดแท้ๆ ยิ่งเข้าไปอีก ด้วยการปริ้นกระดาษเป็นรูปห่อน้ำจิ้มติดเอาไว้ด้วย